ไม่พบทุกข์ ไม่เห็นธรรม แล้วจะรอให้พบทุกข์ไปทำไม เร่งหาธรรม มาดับก่อนพบทุกข์

ผู้ติดตาม

ตอนที่ 7 พระมหากรุณาคุณ

เมื่อได้ประทับอยู่ ณ ป่าริมแม่น้ำ ที่พระองค์ได้เสด็จจากนายฉันนะนั้น ชั่วขณะหนึ่งแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะซึ่งบัดนี้อยู่ในสภาพแห่งนักบวชผู้กระทำภิกขาจาร ได้เสด็จมุ่งหน้าสู่ทิศใต้ตรงไปยังประเทศมคธ พระองค์เสด็จถึงราชธานีชื่อ นครราชคฤห์ อันเป็นที่ประทับของพระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งประเทศนั้น

ในพระนครนั้น พระสิทธัตถะทรงถือภาชนะขออาหารเสด็จไปตามท้องถนนเพื่อการภิกขาจารเยี่ยงนัก บวชทั้งหลาย แต่อย่างไรก็ตาม พระองค์ปรากฏแก่สายตาของประชาชนว่า มิได้เป็นเช่นนักบวชตามธรรมดาเลย ประชาชนต่างสังเกตเห็นว่าพระองค์มีลักษณะผิดจากนักบวชธรรมดาหลายประการ ดังนั้น ก็พากันหาอาหารที่ดีที่สุดอันจะพึงมีมาถวายและใส่ลงในบาตรของพระองค์

เมื่อพระองค์ทรงรับอาหารได้พอสมควรแล้ว ก็เสด็จออกจากนคร ไปสู่ที่อันสมควรแห่งหนึ่ง ประทับนั่งเพื่อเตรียมฉันอาหารตามที่ได้รับมา แต่ท่านทั้งหลายจงคิดดูเถิด ว่าอาหารที่ได้มาในวันนั้น จะปรากฏในความรู้สึกของพระองค์อย่างไร พระองค์มีกำเนิดเป็นเจ้าชาย ทรงประสพแต่พระกระยาหารอันประณีตที่สุด มีผู้ปรนนิบัติให้เสวยด้วยอาการที่ประเล้าประโลมให้เป็นที่พึงพอใจที่สุด ไม่ทรงเคยประสพอาหารชั้นเลว ทั้งได้ระคนกันในภาชนะอันเดียวเช่นนี้มาก่อนเลย ลำไส้ของพระองค์เริ่มกระอักกระอ่วนราวกะจะทันออกมาจากพระโอษฐ์ ในเมื่อได้ทรงก้มลงดูในบาตรอันเต็มไปด้วยอาหารนานาชนิดนานาพรรณ คละปนกันจนไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร พระองค์ไม่ทรงสามารถบังคับพระองค์เองให้เสวยอาหารเช่นนี้ได้ ทั้งทรงนึกใคร่จะขว้างทิ้งไปเสียโดยไม่เสวยอะไรเสียเลยจะดีกว่า

แต่ในที่สุด พระองค์ทรงยับยั้งความคิดเช่นนั้นไว้ได้ พระองค์ได้ทรงคิดและรำพึงกับพระองค์เองดังต่อไปนี้

“สิทธัตถะ เธอกำเนิดในราชสำนักแห่งขัตติยวงศ์อันใหญ่ยิ่ง มีอาหารทุกๆ ชนิด ล้วนแต่เป็นอย่างดีสำหรับกินได้ตามปรารถนา ข้าวก็อย่างดี แกงกับก็อย่างดีและเหลือเฟือ แต่แทนที่เธอจะอยู่กินอาหารเช่นนั้นในวัง เธอกลับตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อออกมาเป็นนักบวชไว้บ้านเรือน มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารของคนขอทาน ตามที่คนใจบุญเขาจะบริจาคให้ แม้ในบัดนี้เธอก็ยังยืนยันความเป็นอย่างนั้นอยู่ ว่าเธอเป็นนักบวชที่ไร้บ้านเรือน แล้วบัดนี้เล่า เธอกำลังจะขว้างทิ้งอาหารนี้เช่นนั้นหรือ? เธอกำลังไม่ประสงค์จะกินอาหารชนิดที่เป็นของนักบวชผู้ไร้บ้านเรือน ตามที่เขาให้มาอย่างไร เธอคิดว่าการทำเช่นนั้นเป็นการสมควรแล้วหรือ?

พระสิทธัตถะทรงให้โอวาทแก่พระองค์เอง พร้อมทั้งเหตุผลนานาประการ เพื่อปรับปรุงพระหฤทัยให้เหมาะสมแก่การที่จะต้องเป็นอยู่ด้วยอาหารของคนขอ ทาน ตามธรรมเนียมของนักบวชทั้งหลาย ในที่สุดแห่งการต่อสู้กันในภายในจิตใจครั้งนี้ พระองค์เป็นฝ่ายชนะความกระด้างถือตัว ทรงหมดความรังเกียจในอาหารอันวางอยู่เฉพาะพระพักตร์ แล้วทรงเริ่มเสวยอาหารนั้น โดยปราศจากอาการอันกระสับกระส่ายแก่ประการใด และไม่ต้องทรงลำบากพระทัยในการที่จะต้องฉันอาหารเช่นนั้นอีกสืบไป

ในครั้งนั้น ประชาชนชาวเมืองราชคฤห์ได้พากันโจษจันถึงนักบวชแปลกหน้า ซึ่งเข้ามาบิณฑบาตในนครเมื่อเช้านี้ ว่ามีลักษณะผิดแปลกจากนักบวชตามปรกติอย่างไม่อาจจะเทียบกันได้ ในความสง่างามและความมีลักษณะสูงส่ง ข่าวอันนี้ได้แพร่สะพัดไปจนกระทั่งถึงวังหลวง ทราบถึงพระเจ้าพิมพิสารจนถึงกับพระองค์ได้ทรงส่งราชบุรุษออกติดตามเพื่อให้ ทราบว่านักบวชผู้แปลกประหลาดนี้คือใครกัน
โดยเวลาไม่มากนัก ราชบุรุษผู้สื่อข่าวเหล่านั้น ก็สามารถทราบเรื่องราวอันเกี่ยวกับพระสิทธัตถะได้ครบถ้วนและพากันกลับมากราบ ทูลให้พระราชาของตนทราบว่า นักบวชผู้นั้นคือพระโอรสองค์ใหญ่ของพระราชาแห่งชนชาวศากยะ ทั้งเป็นทายาทผู้จะต้องสืบราชบัลลังก์อีกด้วย แต่พระองค์ทรงสละสิ่งทั้งปวงออกบวชเป็นภิกษุ เพื่อเสาะแสวงหาหนทางอันจะทำให้คนเราพ้นจากความครอบงำของความแก่ชรา ความเจ็บไข้ และความตาย

เมื่อราชบุรุษกราบทูลดังนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับด้วยความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวง พระองค์ไม่เคยทรงทราบมาแก่ก่อนว่า มีนักบวชผู้ใดเคยออกบวชเพื่อเสาะแสวงหาสิ่งอันแปลกประหลาดเหนือกฎธรรมดาเช่น นั้น แต่เมื่อฟังดูก็รู้สึกว่า เป็นการกระทำที่น่าเคารพบูชาอย่างยิ่ง เป็นการเหมาะสมแก่เจ้าชายชาติชาตรีแท้จริง และทั้งเป็นสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ว่าจักนำมาซึ่งความสำเร็จ

พระองค์ได้เสด็จไปทูลขอร้องให้พระสิทธัตถะประทับอยู่ในเขตนครของ พระองค์ โดยพระองค์จักเป็นผู้ถวายอาหารบิณฑบาตและสิ่งอื่นๆ อันจักเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกและนำมาซึ่งความสำเร็จในสิ่งที่พระองค์ทรง ประสงค์ได้โดยง่าย แต่พระสิทธัตถะทรงปฏิเสธ โดยตรัสว่า พระองค์ไม่อาจประทับอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แต่แห่งเดียว ตลอดเวลาที่ยังไม่ทรงประสพสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ เมื่อเป็นดั่งนั้น พระราชาได้ทรงขอร้องให้พระองค์ทรงรับคำว่า เมื่อบรรลุถึงสิ่งซึ่งทรงประสงค์แล้ว จักเสด็จมาสู่นครของพระองค์ก่อน เพื่อโปรดให้พระองค์และประชาชนๆ ได้ทราบถึงสิ่งนั้นด้วยเป็นพวกแรก

พระสิทธัตถะได้เสด็จจากนครราชคฤห์ตรงไปยังชนบทอันเต็มไปด้วยทิวเขา เป็นที่อยู่แห่งฤษีแลมุนี นักบวชนานาชนิด ซึ่งพระองค์ทรงหวังว่าบุคคลเหล่านี้จักสามารถช่วยให้พระองค์ได้ทรงศึกษา และทราบถึงความจริงเรื่องชีวิต ความจริงเรื่องความตาย ตลอดถึงสิ่งชั่วร้าย กล่าวคือความทุกข์ทรมาน อันเนื่องกันอยู่กับชีวิตนั้น เพื่อหาหนทางกำจัดเสียโดยสิ้นเชิง

ขณะที่พระองค์เสด็จไปตามหนทาง ได้ทรงเห็นฝุ่นฟุ้งตลบฟ้าลงมาจากภูเขา พร้อมทั้งเสียงกีบสัตว์จำนวนมากกระทบกับพื้นดิน ครั้งเสด็จใกล้เข้าไป ก็ทอดพระเนตรเห็นแพะและแกะฝูงใหญ่ ออกมาจากกลุ่มฝุ่นอันฟุ้งขึ้นดุจเมฆนั้น ฝูงสัตว์ที่น่าสงสารนั้นกำลังถูกขับต้อนไปทางในเมือง ตอนท้ายๆ ปลายฝูงอันยาวยืดนั้น มีลูกแกะอ่อนตัวหนึ่ง ขาเจ็บเป็นแผล มีเลือดไหลโซม ต้องพยายามโขยกเขยกเดินไปตามฝูงด้วยความเจ็บปวดอันทรมาน

เมื่อพระสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นลูกแกะตัวนี้ และทั้งทรงสังเกตเห็นแกะที่เป็นแม่ของมันกำลังเดินวกวน พะวงหน้าพะวงหลัง เพราะมีลูกเล็กที่จะต้องห่วงหลายตัว พระหฤทัยของพระองค์ก็เต็มอัดอยู่ด้วยความกรุณา พระองค์ทรงอุ้มลูกแกะแล้วเดินตามฝูงแกะไปข้างหลังพลางตรัสว่า “สัตว์ที่น่าสงสารเอ๋ย ฉันกำลังจะไปหาพวกฤษีบนภูเขา แต่มันก็เป็นความดีเท่ากันในการที่ฉันจะช่วยบรรเทาความทุกข์ของเจ้า หรือในการที่ฉันจะไปนั่งสวดมนต์ภาวนากับบรรดาฤษีเหล่านั้นบนภูเขา”
เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นหมู่คนเลี้ยงแกะซึ่งเดินตามข้างหลังก็ตรัส ถามว่า เขาจะต้อนฝูงแกะเหล่านี้ไปทางไหน และทำไมเขาจึงต้อนแกะเหล่านี้ในเวลาเที่ยงวันเช่นนี้ แทนที่จะต้อนมันกลับจากที่เลี้ยง ในเวลาเย็น คนเหล่านั้นได้กราบทูลพระองค์ว่าเขาต้องทำตามคำสั่งซึ่งสั่งให้นำแพะและแกะ อย่างละร้อยตัวไปสู่ภายในนครตอนกลางวันเสียแต่เนิ่น เพื่อให้เป็นการพรักพร้อมที่จะประกอบการบูชามหายัญของพระราชาในตอนค่ำ พระองค์ตรัสว่า “ฉันจะไปกับพวกท่านด้วย” แล้วพระองค์ก็เสด็จตามฝูงแกะนั้นไป ทรงอุ้มลูกแกะตัวน้อยนั้นไว้ในอ้อมพระหัตถ์ตลอดทาง” (*เรื่องฝูงแกะนี้ ไม่มีในพุทธประวัติอย่างไทย)

เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงริมท่าน้ำแห่งหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินตรงมาหาพระองค์ ทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วได้กล่าวกะพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเป็นเจ้าสูงสุด พระองค์โปรดเมตตาแก่ดิฉัน จงโปรดบอกให้ทราบเถิดว่า เมล็ดพันธุ์ผักกาด ที่สามารถแก้ความตายได้นั้น ดิฉันจักหาได้จากที่ไหน?” เมื่อสตรีผู้นั้น ได้เห็นอาการสนเท่ห์ของพระองค์ จึงได้กล่าวต่อไปอีกว่า “พระเป็นเจ้าได้ลืมเสียแล้วหรือ เมื่อวานนี้ ดิฉันได้นำลูกชายเล็กๆ ซึ่งเจ็บหนักจวนจะตาย มาให้พระเป็นเจ้าดูที่ในเมือง และได้ถามถึงยา ที่จะป้องกันไม่ให้ตายเพราะดิฉันมีลูกคนเดียว พระเป็นเจ้าได้ตอบว่า มียาซึ่งอาจช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ถ้าดิฉันอาจหาเมล็ดผักกาดดำมาหนึ่งโกละ จากเรือนซึ่งไม่เคยมีใครตายเลย!”

พระสิทธัตถะได้ตรัสถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน และพระพักตร์อันยิ้มแย้มว่า “ก็เธอหาเมล็ดผักกาดนั้นได้มาแล้วหรือยังเล่า น้องหญิง?” หญิงนั้นได้กราบทูลด้วยน้ำเสียงอันเศร้าที่สุดว่า “หาไม่ได้เลย พระเป็นเจ้า ดิฉันเที่ยวหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดอย่างที่ว่านั้นไม่ได้ แม้ดิฉันจะเที่ยวเสาะหาไปทุกบ้านทุกเรือนแล้ว และทุกๆ คนเขาก็พากันเต็มใจจะให้ แต่พอดิฉันบอกเขาว่า ฉันต้องการแต่เมล็ดผักกาดที่มีอยู่ในเรือนซึ่งยังไม่เคยมีคนตายมาก่อน เขาจะพากันกล่าวว่าดิฉันพูดเรื่องที่น่าพิลึกกึกกือเกินไป เพราะบ้านเรือนของคนเหล่านั้น ล้วนแต่มีคนตายในเรือนทั้งนั้น บางเรือนยังเคยตายกันมากกว่าคนหนึ่ง บางคนบอกว่าเคยมีทาสตาย บางคนว่าบิดาตาย บางคนว่าแม่ตาย บางคนว่าลูกชายตาย บางคนว่าลูกหญิงตาย ทุกๆ บ้าน ทุกๆ เรือน ไม่ใครก็ใครได้ตายไปแล้วทั้งนั้น ดิฉันจึงไม่แสวงหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดดังกล่าวนั้นได้จากที่ใดเลย ดิฉันจักหาเมล็ดผักกาดชนิดนั้นมาแต่ไหน ก่อนแต่ที่ลูกชายเพียงคนเดียวของดิฉันนี้จักตายไป จักไม่มีบ้านใด บ้างหรือที่ไม่มีใครเคยตายเลย?”

พระสิทธัตถะได้ตรัสตอบแก่หญิงนั้น ซึ่งบัดนี้ได้เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นว่า “เธอได้กล่าวเองแล้วมิใช่หรือว่า ไม่มีบ้านเรือนหลังใดที่ไม่เคยมีใครตายเลย เธอได้พบความจริงอันนี้แล้วด้วยตนเอง บัดนี้ เธอได้ทราบแล้วว่าความทุกข์เช่นนี้ มิใช่เป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่เธอเฉพาะแต่ผู้เดียวในโลกนี้ บัดนี้ เธอได้ทราบด้วยตนเองแล้วว่า คนทั้งโลกก็ร้องไห้เพราะเหตุอย่างเดียวกันกับเธอเต็มไปหมด จงกลับไปบ้าน แล้วจัดการฝังศพลูกของเธอที่ตายแล้วเสียเถิดน้องหญิงเอ๋ย ส่วนฉันนี้จักไปเสาะแสวงหาสิ่งซึ่งจักระงับความโศกของเธอ และของคนทั้งหลาย หากพบแล้ว ฉันจะกลับมาอีก และจะมาบอกเล่าสิ่งนั้นให้เธอทราบ”

พระสิทธัตถะได้เสด็จตามฝูงแกะ ซึ่งกำลังก้าวเข้าไปใกล้ความตายเข้าทุกทีนั้น กระทั่งถึงนคร แล้วเสด็จต่อไปจนกระทั่งถึงวังหลวง อันเป็นที่ซึ่งจะมีการบูชายัญ ณ ที่นั้น พระราชาประทับยืนอยู่กับหมู่นักบวช ซึ่งกำลังสวดบทมนต์สรรเสริญคุณเทพเจ้าทั้งหลายอยู่ ในขณะนั้นไฟบนแท่นบูชายัญได้ติดขึ้นแล้ว นักบวชเหล่านั้นก็พร้อมที่จะทำการบูชายัญด้วยฝูงสัตว์ที่เพิ่งมาถึง ขณะที่หัวหน้านักบวชกำลังยกมีด เงื้อขึ้นเพื่อจะตัดศีรษะแพะที่ถูกนำเข้ามาเป็นตัวแรก พระพระสิทธัตถะได้ตรัสแก่พระเจ้าพิมพิสารว่า “อย่าเลย มหาราช อย่าให้ผู้บูชายัญเหล่านี้พร่าชีวิตสัตว์ที่น่าสงสารเหล่านั้นเลย” พอตรัสเช่นนั้นแล้ว ก่อนที่ใครๆ จะทราบว่าพระองค์จะทำอะไรต่อไป พระองค์ได้ทรงรีบแก้เชือกหญ้าที่เขาใช้ผูกแพะตัวนั้นออก และปล่อยให้มันกลับไปหาฝูงของมัน ไม่มีใครในที่นั้น แม้แต่พระราชาเอง หรือแม้แต่หัวหน้านักบวชผู้ทำพิธีบูชายัญนั้น ได้ทันเกิดความรู้สึกที่จะขัดขวางพระองค์ ในขณะที่พระองค์ทรงปล่อยสัตว์ตัวนั้นให้เป็นอิสระ ทั้งนี้ เป็นเพราะพระองค์ทรงมีท่าสง่างามและสูงส่ง ครอบงำความรู้สึกของคนทั้งหลายในขณะนั้นเสียสิ้น

พระองค์ได้ตรัสแก่พระราชาและนักบวช ผู้ประกอบพิธีบูชายัญ ตลอดถึงประชาชน ที่ได้พากันมาดูการบูชายัญนั้นให้ทราบถึงข้อที่ ชีวิตนี้เป็นของที่น่าอัศจรรย์เพียงไร คือการที่ใครๆ ทำลายมันได้ แต่เมื่อทำลายลงไปแล้ว ใครก็ไม่อาจสร้างมันให้กลับขึ้นมาได้ พระองค์ได้ตรัสแก่คนที่ล้อมรอบอยู่ในที่นั้นว่า ทุกตัวสัตว์ซึ่งมีชีวิต ย่อมรักชีวิต ย่อมกลัวต่อความตายเช่นเดียวกับมนุษย์ แล้วทำไม มนุษย์จะมาใช้กำลังที่ตนมีเหนือสัตว์ผู้เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันนั้น ให้เป็นไปในทางปล้นเอาชีวิต ซึ่งเป็นที่รักของมัน ซึ่งน่าอัศจรรย์ดังกล่าวแล้วนั้น ไปเสียเล่า?

พระองค์ตรัสต่อไปว่า ถ้ามนุษย์ปรารถนาจะได้รับความเมตตากรุณาแล้ว ก็ควรแสดงความเมตตากรุณาออกไป ถ้ามนุษย์เป็นผู้ล้างผลาญชีวิต เขาก็จะถูกล้างผลาญชีวิตเป็นการตอบแทนตามกฎความจริงซึ่งครองโลก พระองค์ได้ตรัสถามเขาเหล่านั้นว่า พระเป็นเจ้าพวกไหนกันที่เพลิดเพลินในโลหิตและแสวงหาความยินดีจากโลหิต? ต้องเป็นพระเจ้าชนิดที่ไม่ดีเป็นแน่แท้? ผู้ที่แสวงหาความเพลิดเพลินจากความทุกข์ยากและชีวิตของผู้อื่นนั้นควรจะเป็น ปีศาจร้าย มากกว่าเป็นพระเป็นเจ้ามิใช่หรือ?

พระองค์ได้ทรงสรุปว่า ถ้าคนเราปรารถนาจะได้รับความสุขด้วยตนเอง ในอนาคตแล้ว ก็ต้องไม่ทำความทุกข์ให้เกิดแก่สัตว์อื่น แม้ที่ต่ำต้อยเพียงไร ผู้ที่หว่านพืชพันธุ์แห่งความทุกข์ยากเศร้าโศกทรมานลงไปแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย จักต้องได้เก็บเกี่ยวผลอันเกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน

พระสิทธัตถะได้ตรัสแก่พระราชาและนักบวช ผู้ประกอบการบูชายัญ ตลอดถึงประชาชนชาวนครราชคฤห์เหล่านั้น ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ และด้วยลักษณาการอันสุภาพอ่อนโยน เต็มไปด้วยความกรุณาอย่างแท้จริง แต่ก็ทรงไว้ซึ่งอำนาจและกำลังอันเข้มแข็ง ถึงกับเปลี่ยนจิตใจของพระราชาและนักบวชเหล่านั้นได้โดยสิ้นเชิง

จำเดิมแต่นั้นมา พระราชาได้ทรงประกาศพระราชโองการตลอดราชอาณาจักรของพระองค์ ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบการบูชายัญด้วยสัตว์มีชีวิตอีกต่อไป ให้ประกอบแต่การบูชายัญด้วยสิ่งที่ไม่ต้องมีการล้างผลาญ สัตว์ที่มีชีวิต เช่น ดอกไม้ ผลไม้ ขนมหวานและสิ่งอื่นๆ ซึ่งไม่ต้องมีการฆ่าฟันทำลายชีวิตเลย

พระเจ้าพิมพิสาร ได้ทรงขอร้องต่อพระสิทธัตถะอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ประทับอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ และสั่งสอนชนทั้งหลาย ให้มีความเมตตาปรานีต่อสัตว์ที่มีชีวิตสืบไป พระสิทธัตถะได้ทรงตอบขอบพระทัยในความหวังดีของพระราชา แต่เนื่องจากพระองค์ยังไม่ได้ทรงประสบสิ่งซึ่งพระองค์กำลังทรงแสวงหา พระองค์ไม่สามารถจะหยุดอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง จักท่องเที่ยวต่อไปในที่ทุกหนทุกแห่ง ในบรรดาชนผู้มีวิชาความรู้เป็นนักปราชญ์


ข้อมูล : พุทธประวัติ ฉบับสำหรับยุวชน ; สำนักพิมพ์ธรรมสภา

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น