ไม่พบทุกข์ ไม่เห็นธรรม แล้วจะรอให้พบทุกข์ไปทำไม เร่งหาธรรม มาดับก่อนพบทุกข์

ผู้ติดตาม

ตอนที่ 6 การสละโลก

นับตั้งแต่เจ้าชายราหุลกำเนิดแล้ว เป็นต้นมา พระเจ้าสุทโธทนะทรงรู้สึกว่า ไม่มีความจำเป็นอย่างใดอีกต่อไป ในการที่จะกักขังเจ้าชายสิทธัตถะไว้ในความบันเทิงเริงรื่น พระองค์ทรงอนุญาตให้เสด็จออกประพาสที่ต่างๆ ในพระนคร ได้ตามความปรารถนะ เจ้าชายจึงเสด็จประพาสทั่วๆ ไป ในพระนครอยู่เนืองๆ ทรงได้ทอดพระเนตรเห็นสิ่งต่างๆ และทรงใคร่ครวญทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงประสพ และทรงพยายามตั้งพระทัยในอันที่จะต้องจัดต้องทำต่อสิ่งนั้นๆ ตามที่พระองค์ทรงเห็น

วันหนึ่ง เมื่อพระสิทธัตถะเสด็จกลับจากการประพาสนคร ก่อนที่จะถึงที่ประทับของพระองค์ พระองค์ได้เสด็จผ่านหน้าตำหนักอันเป็นที่ประทับของบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลาย เจ้าหญิงองค์หนึ่ง พระนามว่า กีสาโคตมี บังเอิญประทับอยู่ที่หน้าบัญชร ได้ทรงเห็นเจ้าชายเสด็จมา ความสง่างามและความสุภาพละเอียดอ่อนของเจ้าชายได้เป็นที่ประทับพระทัยเจ้า หญิงองค์นี้จนถึงกับพลั้งพระโอษฐ์ออกมาว่า “เย็นเหลือเกิน! สุขเหลือเกิน! อิ่มใจเหลือเกิน! ถ้าหากใครได้เป็นแม่ก็ดี ได้เป็นพ่อก็ดี ได้เป็นเมียก็ดี ของเจ้าชายหนุ่มรูปงามพระองค์นี้”

เสียงพลั้งพระโอษฐ์โดยไม่รู้สึกตัวของเจ้าหญิงกีสาโคตมี ดังจนกระทั่งได้ยินไปถึงโสดของเจ้าชายทุกๆ คำ แต่ขณะนั้นพระองค์เฝ้าพะวงขบคิดแต่เรื่องเพศบรรพชิตและการออกบวช จึงเมื่อทรงได้ยินดังนั้นเข้า ก็กลับจับเองความไปเสียอีกทางหนึ่ง ทรงรำถึงต่อพระองค์เองต่อไปว่า “แน่แล้ว แม่ก็ตาม พ่อก็ตาม เมียก็ตาม ถ้าได้ลูกหรือได้ผัวเช่นว่านั้น จักต้องมีความเย็น ความสุขและความอิ่มใจแน่แท้ แต่ว่าอะไรกันเล่า ที่เป็นความเย็น ความสุขและความอิ่มใจอันแท้จริง?” พระหฤทัยของเจ้าชายในขณะนี้ สูงพ้นไปจากความยินดีอย่างวิสัยโลกเสียแล้ว ด้วยเหตุที่สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงประสพมาก่อนหน้านี้ได้เต็มแน่นอยู่ในพระหฤทัยของพระองค์ ตลอดเวลา ไม่มีช่องทางที่จะให้คิดไปในทำนองอื่นได้อีก

พระองค์ตรัสแก่พระองค์เองว่า “ความสุขที่จริงแท้จะมีมาได้ ก็ต่อเมื่อความไข้แห่งราคะ โทสะ และโมหะ ได้ถูกเยียวยารักษาให้หายแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อไฟแห่งมานะ ทิฏฐิ และกิเลสทั้งหลาย ดับไปหมดแล้ว เมื่อนั้นแหละ ความเย็น ความสุข และความอิ่มใจอันจริงแท้จักมีมา นั่นแหละ คือสิ่งที่ฉันและคนอื่นทุกคน อยากจะได้ นั่นแหละ คือสิ่งที่ฉันต้องออกไปแสวงหาในบัดนี้ ฉันไม่อาจทนอยู่ด้วยความเพลิดเพลินในวังนี้อีกต่อไป ฉันจะต้องออกไปบัดนี้แล้ว ฉันจะแสวงและจะแสวงเรื่อยไป จนกว่าจะพบสิ่งซึ่งเป็นความสุขอันแท้จริง อันจักทำให้ฉันและทุกคนได้ขึ้นอยู่เหนืออำนาจของความแก่ ความเจ็บ ความตาย เจ้าหญิงผู้นี้ได้บอกบทเรียนอย่างดี ให้แก่ฉันแล้ว เธอเป็นครูที่ดีที่สุดแก่ฉันอย่างไม่มีปัญหา ฉันต้องส่งค่าบูชาครูไปถวายเธอ”

ตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ได้ทรงปลดสร้อยไข่มุกซึ่งพระองค์กำลังทรงสวมอยู่ขณะนั้นจากพระศอ ส่งไปถวายเจ้าหญิงกีสาโคตมีเป็นธรรมบรรณาการ เจ้าหญิงองค์นั้นทรงรับสร้อยจากบุรุษเดินข่าวของเจ้าชาย แล้วตรัสคำขอบพระคุณอย่างยิ่งฝากไปยังเจ้าชาย และทรงเข้าใจเอาเองว่า การประทานสร้อยนั้นเป็นการแสดงความรักของเจ้าชายอันใคร่จะได้นางเป็นพระชายา
แต่พระหฤทัยของเจ้าชายอยู่ในสภาพที่ห่างไกลจากเรื่องชนิดนั้น ซึ่งพระบิดาและพระชายาของพระองค์ได้ทรงทราบอยู่เป็นอย่างดี ทุกๆ คนที่เกี่ยวข้องอยู่กับเจ้าชาย ได้ทรงสังเกตเห็นชัดว่า ในระยะหลังนี้ เจ้าชายได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง นับแต่วันเสด็จกลับจากการประพาสนคร พระองค์ทรงเคร่งขรึมและคิดหนักยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาแล้ว แต่พระบิดาของพระองค์ก็ไม่สามารถปล่อยให้เป็นไปตามเหตุการณ์ โดยไม่ทรงพยายามเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นพระองค์จึงรับสั่งให้หาหญิงระบำและนักขับร้องที่ฉลาดที่สุด งามหยดย้อยที่สุดในประเทศของพระองค์มาประจำ ณ ปราสาทของเจ้าชาย สตรีเหล่านั้น ได้ทำการร้องรำถวายเจ้าชายสิทธัตถะตามพระราชโองการของพระราชาอย่างไพเราะและ งดงามที่สุดและด้วยท่าทางที่ยั่วเย้าที่สุดด้วยความหวังที่จะให้เจ้าชายเกิด ความพอใจและเพลิดเพลินให้จนได้

ในชั้นแรกๆ เจ้าชายก็ทรงทอดพระเนตรและยอมฟัง พอไม่ให้เป็นที่ขัดเคืองพระทัยของบิดา แต่พระเนตรของพระองค์ทรงเผยอขึ้นดูสิ่งสวยงามยั่วยวนเหล่านั้นได้เพียงครึ่ง เดียว เพราะพระหฤทัยของพระองค์ไปหมกมุ่นอยู่เสียกับสิ่งอื่นบางสิ่ง อย่างไม่มีเวลาสร่าง พระองค์ทรงคิดถึงสิ่งนั้นราวกะว่ามันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่คุ้มค่าในการคิด คือ ปัญหาที่ว่า ทำอย่างไรพระองค์และคนทั้งหลายจักพ้นจากความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายได้โดยสิ้นเชิง

ในที่สุด พระองค์ทรงอ่อนเพลีย เนื่องจากการคิดมาก และไม่มีเวลาหยุด จึงทั้งๆ ที่อยู่ในท่ามกลางความครื้นเครงแห่งดนตรีและระบำยั่วยวน พระองค์ได้ทรงหลับไป เพราะมันไม่มีกำลังพอที่จะครอบงำ ทำพระหฤทัยของพระองค์ให้รู้สึกเพลิดเพลินได้แต่อย่างใด หญิงนักร้องและนางระบำเหล่านั้น ก็สังเกตได้ว่า ผู้ซึ่งเขาทั้งหลายพากันรำถวายนั้น มีความสนพระทัยน้อยเกินไปจนถึงกับหลับไปเสียเช่นนี้ จึงพากันหยุดการร้องรำ ชวนกันนอกพักที่ตรงนั้นเพื่อการพักผ่อน รอคอยจนกว่าเจ้าชายจะทรงตื่นขึ้นมาใหม่ จะได้ร้องรำถวายต่อไป แต่หญิงเหล่านั้นก็เช่นเดียวกับเจ้าชาย คือพอได้เอนกายลง ก็ม่อยหลับไป เพราะความอ่อนเพลีย โดยไม่ทันรู้สึกตัว ทั้งที่ดวงไฟยังลุกสว่างไสวอยู่ทั่วห้อง

สักครู่ต่อมา เจ้าชายได้ทรงตื่นบรรทม ซึ่งมีเพียงงีบเดียว แล้วทรงเหลียวไปรอบๆ ด้วยความประหลาดพระทัย ทั้งขยะแขยงในสิ่งซึ่งพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นในขณะนั้น หญิงทุกคน ที่ถือกันว่างามที่สุด หยดย้อยที่สุดในประเทศนั้น บัดนี้ได้นอนระกะอยู่ทั่วไปตามพื้นห้อง ด้วยอากัปกิริยาอันน่าขยะแขยง ด้วยท่าทางอันไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ถึงเพียงนั้น ลางนางนอนเช่นเดียวกับหมู โดยทั่วๆ ไป ลางนางนอนปากอ้า ลางนางนอนน้ำลายไหลจากมุมปากลงเลอะเครื่องแต่งตัว ลางนางกำลังกัดเขี้ยวทั้งกำลังหลับ ดูราวกับปีศาจกำลังโกรธ แต่ละคนๆ น่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน จนถึงกับเจ้าชายทรงประหลาดพระทัยว่า ก่อนหน้านี้พระองค์ทรงรู้สึกพอพระทัยในคนทั้งหลายนี้ได้อย่างไรกัน

ภาพแห่งสตรีทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งครั้งหนึ่งพระองค์เคยทรงรู้สึกว่าน่ารักนั้น บัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวไปจนหมดสิ้น และเป็นสิ่งสุดท้ายในฐานะเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุด ที่เข้าไปมีอยู่ในพระหฤทัยของพระองค์นับแต่เวลาที่ได้ทรงมีพระชนม์ชีพมา

บัดนี้ พระหฤทัยของพระองค์ทรงปักแน่ว ที่จะทรงสลัดสิ่งรบกวนใจเหล่านี้ไว้เบื้องหลัง แล้วเสด็จออกแสวงหาสิ่งอันเป็นความสุขแท้จริง ซึ่งสามารถระงับสิ่งร้ายทั้งหลายเหล่านี้ได้โดยทันที พระองค์ทรงลุกขึ้นอย่างเงียบกริบ โดยไม่ทำให้หญิงคนใดตื่นขึ้น ลอบเสด็จออกมานอกห้องนั้นแล้วรับสั่งให้นายฉันนะเตรียมผูกม้ากัณฐกะสีขาวตัว โปรดของพระองค์ในบัดนั้นเพื่อพระองค์จะเสด็จทางไกล
ขณะที่นายฉันนะออกไปเตรียมผูกม้าอยู่นั้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำริว่า พระองค์ควรเสด็จไปดูพระโอรสเพิ่งประสูติของพระองค์เสียสักครั้งหนึ่งก่อนแต่ ที่จะออกไป ดังนั้น พระองค์จึงได้เสด็จไปยังห้องเป็นที่บรรทมของพระชายาและพระโอรส เมื่อเสด็จไปถึง ก็ได้ทรงเห็นว่าพระชายากำลังบรรทมหลับ วางพระหัตถ์กกพระโอรสของพระองค์ไว้อย่างแนบสนิท พระองค์ทรงรำพึงว่า “ถ้าเราจักยกพระหัตถ์ของพระเทวีขึ้น พระนางก็จะตื่นบรรทม ถ้าพระนางตื่นบรรทมก็จักทรงขัดขวางการออกไปของเรา เราต้องไปบัดนี้แล้ว เมื่อใด เราได้พบสิ่งซึ่งเราแสวงหาแล้ว จึงค่อยกลับมาเยี่ยมลูกน้อยและแม่ของเขา” ดังนี้

เจ้าชายได้เสด็จออกจากพระตำหนักอย่างเงียบกริบ จนไม่มีผู้ใดตื่นขึ้นเห็นเหตุการณ์ในท่ามกลางความสงัดเงียบแห่งเที่ยงคืน นั้น พระองค์ทรงขึ้นประทับบนหลังม้ากัณฐกะซึ่งเป็นม้าแสนรู้ รู้จักระมัดระวังไม่ส่งเสียงดังอย่างเดียวกัน พระองค์มีนายฉันนะจับหางม้ากัณฐกะ ได้เสด็จไปสู่ประตูนครและทรงผ่านออกไปได้โดยไม่มีใครขัดขวาง พลางขับม้าหนีห่างจากบุคคลทั้งหลาย ซึ่งทุกคนก็ยังพากันมีความจงรักภักดีในพระองค์อยู่

เมื่อพระองค์เสด็จไปได้หน่อยหนึ่ง ก็ทรงชักม้าให้เหลียวกลับ ประทับนิ่งทอดพระเนตรย้อนมาเป็นครั้งสุดท้ายสู่นครกบิลพัสดุ์ ในท่ามกลางแห่งแสงจันทร์ซึ่งบัดนี้ผู้คนกำลังพากันหลับสนิทสงบเงียบ ในขณะที่เจ้าชายแห่งนครของมันเองกำลังจะเสด็จจากไปอย่างไม่อาจจะทราบได้ว่า เมื่อไรจะได้กลับมาเห็นอีก

นครนี้เป็นนครของพระบิดาของพระองค์เอง ทั้งยังเป็นนครซึ่งมีพระชายาอันสุดที่รักและพระโอรสหัวแก้วหัวแหวนของ พระองค์ประทับอยู่ในนั้นด้วย แม้กระนั้นก็ยังไม่สามารถหน่วงเหนี่ยวทำให้พระองค์ทรงท้อแท้พระทัยในความ แน่วแน่แห่งการเสด็จออกแม้แต่หน่อยเดียว ความคิดที่จะเสด็จกลับเข้านครมิได้เกิดขึ้นในพระทัยของพระองค์เลย พระหฤทัยนั้นยังคงแน่วแน่ปักดิ่งในการเสด็จออกอยู่ทุกประการ พลางทรงชักม้ากลับและทรงควบขับม้าไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์ กระทั่งลุถึงฝั่งแม่น้ำอันมีนามว่า อโนมา ณ ที่นั้นเอง พระองค์ได้เสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนบนหาดทราย ใช้พระหัตถ์ทั้งสองเปลื้องเครื่องประดับทั้งหมดออกจากพระองค์ ยื่นส่งให้แก่นายฉันนะ พร้อมกับตรัสว่า “นี่ฉันนะ จงเอาเครื่องประดับเหล่านี้ของเรา พร้อมทั้งม้ากัณฐกะกลับไปบ้านเมือง บัดนี้เป็นเวลาที่เราสละโลกแล้ว”

นายฉันนะได้ร้องว่า “ทูลกระหม่อมสุดที่รัก อย่าได้เสด็จไปแต่พระองค์เดียวดังนี้เลย จงโปรดให้ข้าพระองค์ได้ไปด้วยอีกคนหนึ่งเถิด” แม้นายฉันนะจะได้วิงวอนครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อขอตามเสด็จไปทุกแห่งที่ พระองค์จะเสด็จตามไปก็ตาม เจ้าชายก็ยังทรงยืนยันปฏิเสธไม่ยอมให้ไปกับพระองค์อยู่นั่นเอง

พระองค์ได้ตรัสแก่นายฉันนะว่า “มันยังไม่ใช่เวลาที่จะสละโลกสำหรับเธอ ฉันนะ! เธอจงกลับไปบ้านเมืองเสียเดี๋ยวนี้ จงทูลพระบิดาพระมารดาด้วยว่า ฉันยังปลอดภัยอยู่” พระองค์ได้ทรงบังคับให้นายฉันนะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับไปด้วยอาการ อันเฉียบขาดดั่งนี้

นายฉันนะ ไม่สามารถจะฝ่าฝืนพระบัญชาแห่งเจ้านายของตนได้ ดังนั้น ทั้งๆที่มีหัวใจอันเหี่ยวแห้งและร่ำไห้อยู่ตลอดเวลา เขาก็จำต้องก้าวย่างกลับไป ไปตามถนนสู่นคร เขาจูงม้ากัณฐกะ พร้อมทั้งนำเครื่องประดับของเจ้าชายกลับไปถึงนคร แจ้งข่าวแก่คนทั้งหลายว่า เจ้าชายซึ่งเป็นเจ้านายสุดที่รัก อันพวกเขาได้พากันทะนุถนอมมาจนถึงที่สุดนั้น บัดนี้ได้สละพระชนกชนนี พระชายาและพระโอรสรวมทั้งอาณาจักรไว้เบื้องหลัง เสด็จไปเป็นนักบวชผู้ไร้บ้านเรือนโดยประการทั้งปวงแล้ว

เจ้าชายสิทธัตถะโคตมะ แห่งศากยวงศ์ ผู้ทรงมีพระชนมายุ ๒๙ ปี ยังทรงอยู่ในวัยหนุ่ม มีผมอันดำสนิทประกอบไปด้วยพละกำลังของคนหนุ่มได้เสด็จออกจากเรือนสู่ความ เป็นผู้ไม่มีเรือน เพื่อทรงแสวงหาหนทางที่จะทำให้พระองค์และคนทั้งปวงประสพชัยชนะ อยู่เหนือความเจ็บไข้ ความทุกข์โศกและความยากเข็ญทั้งปวงด้วยอาการอย่างนี้


ข้อมูล : พุทธประวัติ ฉบับสำหรับยุวชน ; สำนักพิมพ์ธรรมสภา

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น