 | เมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสดูแล โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ปี ๒๕๓๗ ของยุวพุทธฯ ถวายหลวงพ่อฯ ข้าพเจ้ารู้จักวัดอัมพวันเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๓๖ เนื่องจากข้าพเจ้าได้ลาออกจากงาน เพราะความอึดอัดใจผู้ร่วมงานเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ๘ วันแห่งการตกงาน ข้าพเจ้าได้งานใหม่ที่ได้เงินเดือนเท่าเก่าและยังได้อิสระในการทำงาน คือจะเข้างานเวลาใดก็ได้ จะกลับเวลาใดก็ได้ เพราะข้าพเจ้าบอกนายจ้างใหม่ว่า จะต้องไปเรียนปริญญาโทต่อตอนค่ำ ซึ่งท่านก็ยอมรับเงื่อนไขได้ ก็นับเป็นความโชคดีที่มีผู้จ้างข้าพเจ้าด้วยเงินเดือนสูงถึง ๖๕,๐๐๐ บาทในเงื่อนไขที่ช่างเหมาะสมกับข้าพเจ้าในยามนี้เสียเหลือเกิน |
หลังจากได้งาน แล้ว ข้าพเจ้าตัดสินใจจะขอพักผ่อนสัก ๒ เดือน หลังจากที่ทำงานมา ๑๓ ปีโดยแทบจะไม่ได้พักผ่อนยาว ๆ เลย เพราะตั้งใจจะไปเที่ยวสหรัฐอเมริกา เนื่องจากตอนที่ข้าพเจ้าลาออกนั้น เจ้านายที่บริษัทเก่าคงเห็นว่าข้าพเจ้าตัดสินใจลาออกโดยมิได้มีความผิดอะไร และผลงานของข้าพเจ้าก็ดี จึงได้แถมเงินเดือนให้กับข้าพเจ้าอีก ๖ เดือน ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้ายังทำงานไม่ครบ ๓ ปีเลย ข้าพเจ้าจึงคิดจะไปเที่ยวและใช้ชีวิตสบาย ๆ สักพัก เพราะงานใหม่ก็ได้แล้ว ยังมีเงินเดือนเหลืออีกตั้งเยอะ และแล้ววันหนึ่งภรรยาของข้าพเจ้าไดพาข้าพเจ้าไปที่โรงพิมพ์กุลสตรีเพื่อซื้อ หนังสือ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ชุดหนึ่ง ๒ เล่ม เนื่องจากภรรยาของข้าพเจ้าเป็นแฟนคอลัมน์นี้ของ คุณสุทัสสา อ่อนค้อม และได้เคยพูดถึงหลวงพ่ออยู่บ่อย ๆ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจเลย ข้าพเจ้าอยู่ว่าง ๆ เลยหยิบหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา ...แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งติด จนวันรุ่งขึ้นตอนเที่ยง ๆ ข้าพเจ้าอ่านจบทั้งสองเล่ม จึงบอกภรรยาว่า ข้าพเจ้าจะไปวัดอัมพวัน (หรือวัดป่ามะม่วง) นะ และอาจจะไปเข้ากรรมฐานสัก ๓ วัน แล้วข้าพเจ้าก็หอบเสื้อผ้าใส่รถ ซื้อผ้าไตรอย่างดี ๑ ชุด พร้อมธูปเทียนแพและสังฆทาน ๑ ถัง ขับรถไปที่วัดทันที
เมื่อถึงวัด ข้าพเจ้าก็ได้ทันถวายผ้าไตรหลวงพ่อพอดี เพราะท่านกำลังจะขึ้นรถออกไปงานศพ ท่านให้พรเสร็จแล้วก็ไปเลย ข้าพเจ้าจึงไม่ได้คุยอะไรกับท่าน ออกมาพบ พระธีรวัฒน์ ฐานุตฺตโร ที่ท่านคอยต้อนรับญาติโยมอยู่ จึงได้สนทนากับท่านว่าอยากมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานต้องทำอย่างไร ท่านจึงแนะนำให้มาอยู่ที่วัดสัก ๗ วัน ที่กุฏิกรรมฐานของฆราวาส ข้าพเจ้าลาท่านแล้วรีบกลับไปจัดการธุระต่าง ๆ ให้เรียบร้อยพร้อมเตรียมสัมภาระมาให้พออยู่วัด ๗ วัน | |
ข้าพเจ้ากลับมา เข้ากรรมฐานที่วัดในอาทิตย์ต่อมา โดยมี แม่ชีสมคิด เป็นผู้ดูแลเรื่องที่พักให้อย่างดี และมี แม่ชีซูง้อ ช่วยสอนกรรมฐานเรื่องการยืน เดิน นั่ง นอน ให้ ซึ่งข้าพเจ้าก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะไม่มีความรู้เลย คือ เรียนกรรมฐานแบบเด็กเลี้ยงควาย เขาบอกให้ทำอะไรก็ทำ วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าได้พบกับ พอง-ยุบ ในตอนบ่าย ซึ่งเป็นการพบที่ประหลาดมาก เหมือนกับการค้นพบสิ่งอัศจรรย์ในชีวิตเป็นครั้งแรก ปีติและน้ำตาของข้าพเจ้าไหลอาบแก้มอย่างดีใจที่เหมือนพบกับดวงกรรมฐานอัน วิเศษ หลังกรรมฐานแล้ว
ข้าพเจ้าพยายามดู พอง-ยุบ ที่ได้มานี้ว่ายังอยู่หรือเปล่า ก็ปรากฏว่ายังอยู่กับข้าพเจ้าตลอดและเคลื่อนไหวให้กำหนดได้อย่างช้า ๆ เป็นอัศจรรย์ หลังจากที่ข้าพเจ้าพบพอง-ยุบแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มรู้จักกฎแห่งกรรม ที่ไม่มีใครสอน เพราะข้าพเจ้านั่งปวดขาข้างเดียวอย่างมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พอใกล้จะหมดเวลาข้าพเจ้าก็เห็นหน้าสุนัขที่ข้าพเจ้าเคยเลี้ยง ๒ ตัวโผล่ออกมา ในจิตตอนนั้นบอกว่า ข้าพเจ้าเคยไปเตะมันไว้จึงทำให้ข้าพเจ้าปวดขามาก ข้าพเจ้าเสียใจมาก ในวินาทีนั้น ข้าพเจ้านึกขออโหสิกรรมต่อกรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ ทันใดนั้นก็เกิดปีติขนลุกซู่ และเกิดอาการซ่าที่ขาข้าพเจ้าปวดแทบตายนั้นและความปวดก็หายไปในบัดดล หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็รับกรรมในรูปแบบต่าง ๆ กันอีกกว่า ๑๐ รอบ รวมไปถึงกรรมของการขับรถทับลูกแมวที่วิ่งตัดหน้ารถโดยไม่ตั้งใจ ทำให้รู้ว่าถึงแม้ไม่ได้ตั้งใจก็ต้องชดใช้แต่เบากว่ากรรมที่ตั้งใจทำ แทบทุกรอบของการปฏิบัติกรรมฐาน |
ข้าพเจ้าได้เสีย น้ำตาให้กับความเจ็บปวดและความเสียใจในกรรมทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้ก่อขึ้นใน รอบก่อนเพลของวันที่ ๕ ของการปฏิบัติกรรมฐาน ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งอยู่ต่อหน้าหลวงพ่ออยู่นั้นก็มีกำลังมหาศาลมากดที่ ศีรษะข้าพเจ้าลงติดพื้น ข้าพเจ้าเจ็บปวดทรมานกว่าทุกรอบของเวทนาที่พบและตกใจมากคิดว่าต้องแย่แน่ เพราะขยับตัวไม่ได้ จะทำอย่างไรดี? ขณะที่เจ็บปวดแทบตายอยู่นั้น ก็มีเสียงก้องออกมาว่า “ฟังอาญาสวรรค์” แล้วก็มีนิมิตให้ข้าพเจ้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้ารู้จักดีโผล่ขึ้นมา แล้วก็มีการแจ้งข้อหาที่ข้าพเจ้าเคยกระทำผิดไว้ ข้าพเจ้าเจ็บปวดแทบตาย น้ำตาไหลพราก เลยคิดถามไปว่า “แล้วจะให้ข้าพเจ้าชดใช้อย่างไรเล่า?” อีกครู่ต่อมาก็มีนิมิตเป็นรูปพระโผล่ขึ้นมาในบรรยากาศของวัดอัมพวัน ด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ข้าพเจ้าจึงได้รีบตกปากรับคำว่า ตกลง ข้าพเจ้าจะบวชและจะมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดนี้ ๑๕ วันเพื่อชดใช้หนี้กรรมนั้น พอสิ้นเสียงอธิษฐาน แรงมหาศาลที่กดข้าพเจ้าอยู่ก็ได้อันตรธานไปจนหมดสิ้นและตัวข้าพเจ้าก็ ดีดกลับมาอยู่ในท่านั่งอย่างเดิมโดยอัตโนมัติ ข้าพเจ้าทั้งตกใจและกลัวมาก ไม่นึกว่าจะพบสถานการณ์แบบนี้และคิดว่าข้าพเจ้าจะทำอย่างไรต่อไปถ้าพบกับ สถานการณ์แบบนี้อีก?
และแล้ว... ช่วงบ่ายก็มาถึง ข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัติอีกและก็กลับมานั่งที่เดิมหน้าหลวงพ่อดำ พอนั่งไปได้สักพัก อาการเดิมก็เริ่มอีก คือค่อย ๆ มีแรงกดข้าพเจ้าลงไป ข้าพเจ้าเกร็งตัวฝืนทันทีโดยสัญชาตญาณเพราะความเจ็บปวดและความกลัวที่ยังไม่ หายไปจากใจ
ทันใดนั้นข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บแปลบที่หลัง มีความรู้สึกเหมือนกับใครเอาหอกแหลม ๆ มาทิ่มข้างหลัง แล้วมีเสียงสำทับว่า “ฟังอาญานรก” ข้าพเจ้าไม่มีทางเลี่ยงเพราะเจ็บปวดมาก จึงต้องถูกกดศีรษะติดพื้นอีกเป็นครั้งที่สอง และแล้วก็มีรูปภาพและเสียงในฟิล์มแจ้งข้อหาข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าได้เสนอวิธีชดใช้กรรมของข้าพเจ้าออกไปแรงกดก็ทุเลาลง
 | หลังจากนั้นก็เป็นการสอนเรื่อง กตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณต่าง ๆ ในชีวิตนี้ข้าพเจ้าจำได้ว่าได้ทำกรรมต่อบุพการีน้อยมาก เพราะข้าพเจ้าได้ถูกส่งไปให้คุณยายเลี้ยงตั้งแต่เกิดจนถึง ๑๐ กว่าขวบ ข้าพเจ้าจำความด่าแทบจะไม่เคยเถียงพ่อแม่เลย ไม่ว่าจะผิดหรือถูก เพราะคิดว่าเวลาท่านว่าเราแล้ว เราไม่เถียงไม่นานท่านก็เลิก พอเถียงแล้แทนที่จะถูกอบรมสั้น ๆ ก็เลยกลายเป็นยาวไป ข้าพเจ้าใช้หลักอดทนนี้มาโดยตลอด แต่ก็ยังเคยพลาด ปิดประตูดังปังใส่แม่ครั้งหนึ่งเพราะท่านว่าผิดคน ซึ่งกรรมอันนี้เกิดขึ้นมา ๒๐ กว่าปีแล้ว ได้กลับมาให้ข้าพเจ้าเห็นชัด ๆ อีกครั้งหนึ่ง
ข้าพเจ้าร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเสียใจอย่างสุดซึ้ง อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน |
หลังจากนั้นก็มีเสียงมาสอนข้าพเจ้าเรื่องความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณต่าง ๆ ตั้งแต่ แม่ พ่อ ครู อุปัชฌาย์ อาจารย์ โรงเรียน ศาสนา ประเทศชาติ ฯลฯ ว่าต้องทำอย่างไรกับบุคคลและสถาบันต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อทดแทนพระคุณของท่าน เรื่องกตัญญูนี้สอนข้าพเจ้าได้อย่างซาบซึ้ง ลึกเข้าไปในหัวใจ ข้าพเจ้าเรียนรู้ด้วยน้ำตาไหลนองหน้าอย่างซาบซึ้ง เสร็จแล้วก็มีนิมิตให้ข้าพเจ้าเห็นพระอริยสงฆ์ที่ข้าพเจ้านับถือมากหลายองค์ เหมือนมายิ้มอวยพรข้าพเจ้า หลังจากนั้นก็เห็นท่านสมเด็จโต มาบอกให้ข้าพเจ้ากลับบ้านเถอะ เพราะที่บ้านกำลังวุ่นวายที่ข้าพเจ้าอยู่ดี ๆ ก็หายไปอยู่วัด (หลังจากข้าพเจ้ากลับไปแล้วตรวจสอบดูก็เป็นความจริง เพราะที่บ้านกำลังจะยกครอบครัวมาเยี่ยมในวันรุ่งขึ้น ซึ่งถ้ามาจริง ๆ อารมณ์กรรมฐานของข้าพเจ้าคงต้องกระเจิงเป็นแน่) ท่านยังบอกอีกว่าอย่างไรเสีย ข้าพเจ้าก็ต้องกลับมาทำกรรมฐานใช้หนี้กรรมที่นี่อยู่แล้วตั้ง ๑๕ วัน แล้วค่อยมาปฏิบัติต่อก็ได้ (เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะอยู่ให้ครบ ๗ วัน นี่เพิ่งถึงวันที่ ๕ เอง) พอหมดชั่วโมง ข้าพเจ้าจึงเดินออกไปถามผู้ปฏิบัติธรรมว่า ที่นี่มีสมเด็จโตด้วยหรือ? เพราะข้าพเจ้าไม่เคยสังเกตเลย เขาเลยชี้ให้ให้ข้าพเจ้าดูที่ศาลาใกล้ ๆ อาคารภาวนา-กรศรีทิพา ซึ่งข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมอยู่ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นความจริงก็ได้ จึงตัดสินใจกลับบ้านก่อนกำหนดในคืนนั้น
หลังจากที่ตัดสินใจกลับบ้าน แล้ว ข้าพเจ้าได้ไปกราบเรียนหลวงพ่อเรื่องขอบวชใช้หนี้กรรม ซึ่งท่านได้บอกให้ไปปรึกษาพระครูปัญญา ประสิทธิคุณ รองเจ้าอาวาส ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบตารางการบวชของวัด ปรากฏว่าไม่สามารถบวชได้เนื่องจากเวลากระชั้นชิดเกินไป หลวงพี่ธีรวัฒน์จึงแนะนำให้ข้าพเจ้าไปบวชที่กรุงเทพฯ แล้วทำหนังสือมาขอปฏิบัติธรรมที่วัดแทน เมื่อข้าพเจ้าบวชแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้กลับมาที่วัดอัมพวันเพื่อชดใช้หนี้กรรมตามสัญญา ขณะนั้นเป็นเวลาเดียวกับโครงการบรรพชา-อุปสมบทของภิกษุ-สามเณรภาคฤดูร้อนของ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมร่วมกับภิกษุ-สามเณรในโครงการนี้ด้วย ด้วยความเมตตาของท่านพระครูสังฆรักษ์ (ชูชัย อริโย) ข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสเล่าประสบการณ์กฎแห่งกรรมของข้าพเจ้าแก่ภิกษุ-สามเณร ของโครงการฯ และยังได้มีโอกาสแนะนำสามเณรถึงวิธีการที่ข้าพเจ้าได้เคยปฏิบัติมา ซึ่งในช่วงเวลานี้ได้เกิดสิ่งอัศจรรย์แก่ข้าพเจ้ามากมาย เป็นต้นว่าบางคืนอยู่ดี ๆ ก็เหมือนถูกปลุกมาเรียนกรรมฐาน เช่น วิธีการแก้ง่วง วิธีการทำพองยุบให้ชัด (พร้อมคำอธิบายว่าลมหายใจของคนปฏิบัติกรรมฐานและคนทั่วไปจะไม่เหมือนกัน อย่างไร?) บางทีขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ในโบสถ์ ก็มีสภาวธรรมบางอย่างมาให้ข้าพเจ้าทราบ พอข้าพเจ้าเดินออกไปยังไม่ทันพ้นประตูโบสถ์ก็มีเณรมาถามในเรื่องเดียวกับที่ ข้าพเจ้าเพิ่งทราบมาพอดี เสมือนสอนข้าพเจ้าเพื่อให้ไปสอนเณรอีกที บางครั้งก็มาสอนเรื่องแปลก ๆ เช่นการนั่งหลับสมาธิ ที่กายเหมือนหลับไปทั้งตัวเห็นแต่พอง-ยุบชัดอยู่ที่ท้องอย่างเดียว ซึ่งข้าพเจ้ามั่นใจว่าไม่ใช่สมถกรรมฐาน เพราะสามารถกำหนดรูป-นามได้ตลอดและที่สำคัญก็คือสติยังสมบูรณ์อยู่ไม่ง่วง เลย แต่พอกำหนดคลายแล้วจะสดชื่นแจ่มใสมาก นอกจากนี้ ข้าพเจ้ายังได้มีโอกาสเรียนธรรมะที่เรียกว่าเกิดขึ้นมาเอง มาสอนให้ข้าพเจ้าเข้าใจเรื่องการทำงานของใจ สติ อารมณ์ การเกิดของกิเลส อริยสัจ ๔ อย่างง่าย ๆ เหมือนสอนเด็กเลี้ยงควาย ซึ่งไม่เคยเห็นในตำราใด ๆ มาก่อน ทำให้ข้าพเจ้าได้ซาบซึ้งกับพระธรรม ว่าที่จริงแล้วธรรมะนั้นไม่เห็นยากเหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าเคยเรียนเลย ถ้าสอนธรรมะที่ข้าพเจ้าเคยเรียน ข้าพเจ้าคงไม่มีปัญญาจะเข้าใจพระธรรมเป็นแน่แท้ เพราะข้าพเจ้าโง่มาก ๆ ในเรื่องนี้ นอกจากนี้ยังมีคำ ถามหนึ่งที่ได้ถามข้าพเจ้าในระหว่างทำกรรมฐานซึ่ง ข้าพเจ้าขอฝากท่านเป็นการบ้านว่า นิพพานเป็นกิเลสหรือเปล่า?
ระยะเวลากว่า ๑๐ วัน ข้าพเจ้ารู้สึกผูกพันกับโครงการนี้อย่างอธิบายไม่ถูก คิดว่าจะดีสักเพียงไหนที่เยาวชนของชาติจะได้มีโอกาสเรียนรู้ของดีที่ ข้าพเจ้าได้รับจากวัดนี้ จะได้ไม่ทำอะไรผิด ๆ อย่างที่ข้าพเจ้าเคยกระทำมาก่อน ซึ่งกว่าจะรู้ผิดชอบชั่วดีจริง ๆ ก็ต้องรอจนถึงอายุ ๓๓ ปี ข้าพเจ้าคิดว่าถ้ามาวัดนี้เร็วกว่านี้ คงจะทำกรรมน้อยกว่านี้มาก โดยเฉพาะช่วงที่ทำงานแล้ว ข้าพเจ้าทำกรรมอะไร ๆ ไว้มากทีเดียว แต่นั้นก็เป็นแค่เพียงความคิด เพราะว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักใครที่ยุวพุทธฯ เลย ในวันสุดท้ายขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ในโบสถ์ก็มีเสียงมาบอกข้าพเจ้าถึงสามเณร รูปหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกรักและผูกพันตั้งแต่วันแรกที่พบกันเหมือนกับน้องชาย ว่าให้ข้าพเจ้ารับเขาเป็นน้องเสีย เพราะเขาเป็นน้องชายในอดีตชาติที่เคยทำบุญร่วมกันมา ข้าพเจ้าใจหนึ่งก็คิดว่าเป็นเรื่องประหลาดที่อยู่ดี ๆ ก็จะไปตู่ใครมาเป็นน้อง กลัวเขาว่าจะบ้า แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะบอกเขาอย่างนั้น เพราะคิดอย่างนั้นจริง ๆ จึงตัดสินใจบอกเขาว่า “ตอนนั่งในโบสถ์มีเสียงมาบอกให้หลวงพี่รับเธอเป็นน้องนะ ส่วนเธอจะรับหลวงพี่เป็นพี่หรือไม่ก็ตามใจนะ...” เขาฟังก็คงดูแล้วรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน แต่เห็นว่าคงจะไม่เสียหายอะไร จึงไม่ปฏิเสธอะไร หลังจากนั้น ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปกราบลาหลวงพ่อ และได้กราบเรียนท่านว่าข้าพเจ้าได้ของดีจากวัดนี้มากมาย ข้าพเจ้าขอกราบฝากตัวเป็นลูกศิษย์ถวายตัวรับใช้ ท่านกลับตอบว่า เราไม่เคยคิดอยากได้ของใคร ชีวิตเรามีแต่ให้ บาทเดียวเราก็ไม่เคยคิดจะเอาของใคร... ซึ่งกินใจข้าพเจ้าเหลือเกิน และอีกประโยคหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าอยากทำโครงการนี้ยิ่งขึ้น คือ เราน่ะอยากจะสอนเด็กมาก เพราะผู้ใหญ่นั้นสอนยาก ข้าพเจ้าได้กราบเรียนท่านถึงความรู้ที่ข้าพเจ้าได้รับว่าจะเชื่อถือได้เพียง ไร เพราะข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหลวงพ่อสอนอย่างนี้เลย ท่านตอบอย่างมีเมตตาว่า เห็นไหมว่าธรรมะนั้นเป็นปัจจัตตังฯ ผู้รู้ก็รู้ได้ด้วยตนเอง ข้าพเจ้าประทับใจในความดีของหลวงพ่อมาก และคิดว่าอย่างไรเสียต้องหาโอกาสทดแทนพระคุณของท่านและวัดอัมพวันที่ได้ให้ ชีวิตใหม่แก่ข้าพเจ้าให้จงได้
และแล้วธรรมะก็เริ่มทำหน้าที่จัดสรร...ในช่วงที่ข้าพเจ้าบวชใหม่ ๆ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งกรรมฐานอยู่นั้นมีเสียงมาบอกข้าพเจ้าว่า คุณยายซึ่งเปรียบเสมือนมารดาคนที่สองของข้าพเจ้า เพราะเลี้ยงข้าพเจ้ามาตั้งแต่เกิดจนถึง ๑๐ ขวบจะอยู่อีกไม่นาน ข้าพเจ้าฟังแล้วไม่สบายใจมาก เพราะเพิ่งได้เรียนคำว่ากตัญญูจากวัดอัมพวัน ยังไม่มีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณคุณยายท่านเลย ท่านก็จะมาด่วนจากไปเสียแล้ว ในขณะนั้นข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานขอให้กุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาได้ ปกปักรักษาคุณยายด้วย และได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ของข้าพเจ้าฟัง สองวันหลังจากที่ข้าพเจ้าลาสิกขาแล้ว คุณแม่ก็โทรมาบอกว่าคุณยายป่วยหนักมากต้องเข้าห้องไอ.ซี.ยู. ข้าพเจ้าฟังแล้วเข่าอ่อนเพราะไม่นึกว่าสิ่งที่ตนรู้ในกรรมฐานจะเป็นเรื่อง จริง จึงรีบตั้งหน้าตั้งตาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วย แต่ก็ไม่มีความมั่นใจใด ๆ ที่คิดว่าจะช่วยคุณยายได้ จนในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังขับรถไปเยี่ยมท่านนั้น ข้าพเจ้าจึงทวนนึกถึงการบวช คิดว่าถ้าตั้งใจบวชทำกรรมฐานก็คงจะมีอานิสงส์เพียงพอที่จะช่วยคุณยายได้ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานออกไปว่าคุณยายอาการดีขึ้นข้าพเจ้าจะบวช ๑ เดือน เพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะบวชให้ท่านในช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปีหน้า พออธิษฐานเสร็จ สักครู่ก็มีคำตอบว่าที่ข้าพเจ้าได้อธิษฐานจิตไปนั้นตกลงว่าได้ ข้าพเจ้าจึงเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้คุณแม่ฟังอีกและบอกท่านว่าคุณยายคงจะรอด สิ่งอัศจรรย์ก็ ได้เกิดขึ้น....คุณยายอาการดีขึ้นเป็นลำดับ จากที่คุณแม่บอกว่า ตอนเข้าโรงพยาบาลตัวเย็นเหมือนคนตายแล้วกลับมาเป็นปกติ เช่นคนทั่วไปในเวลาต่อมา ท่านกลับมาเป็นคนอายุเกือบ ๙๐ ปีที่มีสุขภาพดีกว่าตอนที่จะป่วยเสียอีก เมื่ออธิษฐานแล้วในวินาทีที่รู้ว่าคุณยายท่านคงจะรอดนั้น ในใจก็บอกกับตนเองว่าที่จริงก็อยากจะมาบวชอยู่แล้วในช่วงที่มีโครงการ บรรพชาฯ ปีหน้า แต่หาสาเหตุเป็นข้ออ้างกับคุณแม่ คุณพ่อ เพื่อจะบวชครั้งที่ ๒ คงจะลำบาก เพราะท่านจะหาว่าข้าพเจ้างมงายหาเรื่องไปบวช ไม่ยอมทำมาหากิน ถ้าคุณยายรอดจริง ๆ ท่านก็คงอนุญาตให้บวชโดยไม่ว่าอะไรมาก ข้าพเจ้าจึงมีข้ออ้างที่จะบวชอีกครั้งหนึ่งได้เป็นอย่างดี...
ในวันอาทิตย์ต่อจากนั้น ยุวพุทธฯ ได้ทำหนังสือขอเชิญผู้ร่วมโครงการบรรพชาฯ ทุกคนมาร่วมพบปะเพื่อประเมินผลโครงการฯ ข้าพเจ้าทราบว่าน้องชายคนใหม่จะไปด้วยจึงรับอาสาไปส่งที่ยุวพุทธฯให้ ในใจก็คิดว่าอยากได้มีโอกาสเขียนจดหมายไปเล่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็น ปัญหาต่าง ๆ ระหว่างที่อยู่วัดแก่นายกยุวพุทธฯ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักใครเลย ก็เลยคิดอีกว่าถ้าส่งไปแล้วจะมีใครสนใจจดหมายข้าพเจ้าไหมนะ? แต่ก็ตั้งใจว่าจะเขียนแน่ ๆ เพราะอยากให้เขาทำโครงการให้ดีขึ้น เมื่อข้าพเจ้าถึงยุวพุทธฯ ทิดเณรหลาย ๆ คนก็เข้ามาทักทาย ก็ได้สนทนาไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันพอสมควร เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ของยุวพุทธฯ ก็เรียกประชุม ข้าพเจ้าจึงนั่งรออยู่ข้างนอก เพราะไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับเขา ทันใดนั้นก็มีบุรุษหนุ่มร่างขาวท้วมท่าทางเหมือนอาเสี่ยมานั่งข้าง ๆ ข้าพเจ้า เขาทักข้าพเจ้าก่อนด้วยกิริยาอันสุภาพ แล้วสอบถามความเป็นมาของข้าพเจ้า เพราะตอนนั้นข้าพเจ้าก็ยังเป็นทิดสึกใหม่ ๆ อยู่ ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้ามาส่งน้องมาที่ยุวพุทธฯ ไม่ได้มาประชุมอะไรเพราะไม่ได้บวชในโครงการฯ แต่ตอนอยู่วัดก็ไปปฏิบัติธรรมร่วมกับพระ-เณรยุวพุทธฯ ด้วย เลยมีคำถามต่อว่าข้าพเจ้ามีความเห็นเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าพเจ้าจึงร่ายยาวเป็นชุดเลยถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าทราบมา เขานั่งรับฟังด้วยความสนใจยิ่ง จนถึงที่สุดข้าพเจ้าเริ่มเอะใจจึงถามว่า “ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าผมกำลังสนทนากับใครอยู่?” เขาหยิบเอานามบัตรมาให้ข้าพเจ้าพร้อมแนะนำตัวว่า
“ผม...อนุรุธครับ เป็นนายกของยุวพุทธฯ...” ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า
“แหม...ผมกำลังจะเขียนจดหมายถึงนายกยุวพุทธฯ พอดีเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเพิ่งเล่าให้คุณฟังนี้
ดีแล้ว...เมื่อผมเล่าแล้วผมก็ไม่ต้องเขียนแล้วซิ” เขาบอกว่า
“ช่วยเขียนให้ผมด้วยซิครับ เพราะผมอยากจะเอาไปให้กรรมการท่านอื่น ๆ ดูด้วย” ข้าพเจ้าเลยได้ทีแนะนำต่อเลยว่า โครงการนี้ควรทำอย่างไรเพื่อให้ได้ผลดียิ่งขึ้น คุณอนุรุธนั่งฟังแล้วจึงสวนข้าพเจ้ามาว่า ที่จริงปัญหาของท่านก็มีอยู่ว่ามีแต่คนให้ความเห็นแต่ไม่ค่อยมีคนทำ แล้วจึงถามข้าพเจ้าว่า “แล้วคุณจะมาช่วยผมทำไหมล่ะ?” ข้าพเจ้าอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วตอบไปว่า “ตกลงครับ ผมจะช่วย...” และนี่คือสัญญาของข้าพเจ้าที่จะทำโครงการนี้ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้รู้เลยว่าทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
|
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น