ป้ายกำกับ
- กฏแห่งกรรม (140)
- ชาดก (162)
- พทุธประวัติ (20)
- พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ (145)
- พระอริยสงฆ์ (4)
- ร่มไทร (11)
- วันสำคัญทางศาสนา (8)
- อานิสงส์ผลบุญ (40)
ผู้ติดตาม
เรื่อง เมื่อข้าพเจ้าไปปฏิบัติกรรมฐานครั้งแรก
:: ภาคกฏแห่งกรรม :: เรื่อง เมื่อข้าพเจ้าไปปฏิบัติกรรมฐานครั้งแรก
โดย จรรยา ชูสุวรรณ
ข้าพเจ้ารู้จักวัดอัมพวันและหลวงพ่อภาวนาวิสุทธิ์ จากการที่ได้อ่านหนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติเล่มแรก อ่านจบแล้วรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมาก คิดไว้เสมอว่า สักวันหนึ่งจะต้องไปกราบนมัสการหลวงพ่อให้ได้ ใคร่จะเรียนถามข้อข้องใจบางประการกับท่าน และข้าพเจ้าก็สนใจที่จะเรียนรู้การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คิดว่าท่านคงให้ความรู้ความกระจ่างแก่ข้าพเจ้าได้แน่นอน ซึ่งในตอนหลังเมื่อข้าพเจ้าได้เรียนรู้การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ตระหนักว่า การปฏิบัติวิปัสสนานี้ทำให้เกิดผลดีแก่ตัวข้าพเจ้ามากมาย รวมทั้งได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้นกับตัวข้าพเจ้า ซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไป
กลางเดือนตุลาคม ๒๕๓๑ ข้าพเจ้ามีเรื่องทุกข์ร้อนไม่สบายใจ เดินทางออกจากบ้านจะไปหาเพื่อนที่ต่างจังหวัด ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าบ้านเพื่อนอยู่ที่ไหน แต่เหมือนมีเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดลใจว่า ไปวัดอัมพวันซิ ไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อจะเป็นที่พึ่งได้ วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๑ ข้าพเจ้าไปขึ้นรถที่ตลาดหมอชิตและบอกกับกระเป๋ารถกรุงเทพฯ-สิงห์บุรีว่า เมื่อถึงวัดอัมพวันแล้วให้บอกด้วย เพราะข้าพเจ้ารู้แต่เพียงว่าวัดอัมพวันอยู่ที่ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เท่านั้น
รถ แล่นออกจากกรุงเทพฯ ทิ้งความสับสนวุ่นว่ายของเมืองหลวงไว้เบื้องหลัง ผ่านธรรมชาติอันสวยงามของชนบท ข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับความงามเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทุ่งนา บ้านเรือน แม่น้ำ ลำคลอง ต้นไม้ และหมู่นก ทำให้นึกถึงชีวิตในวัยเด็กของข้าพเจ้าที่เคยคลุกคลีอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ช่างเป็นเวลาอันแสนสุขที่ข้าพเจ้าคงไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสอีกแล้ว
เวลาผ่านไปราว ๒ ชั่วโมง เสียงกระเป๋ารถก็บอกกับข้าพเจ้าว่า "พี่ ๆ ถึงวัดอัมพวันแล้ว" ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณพร้อมทั้งหิ้วกระเป๋าลงจากรถ มองเห็นป้ายวัดอัมพวันเด่นเป็นสง่า มีธงชาติและธงพระธรรมจักรปักหระดับสวยงาม ข้าพเจ้าแวะลงพักที่ศาลาที่พักผู้โดยสารมองไปยังวัดอัมพวันซึ่งอยู่ลึกเข้าไปราว ๑ กิโลเมตร
ขณะนั้นเป็นเวลาบ่าย แต่อากาศไม่ร้อนเพราะมีลมพัดเย็นสบาย ข้าพเจ้าเดินผ่านทุ่งหนาเขียวขจีและต้นคูณ ต้นตาล ซึ่งปลูกไว้เป็นระยะสองข้างทาง สักพักก็ถึงวัดอัมพวัน ภายในวัดเต็มไปด้วยต้นไม่ใหญ่น้อยร่มครึ้มและสงบเงียบ สุดทางเดินตรงไปข้างหน้าเป็นลานกว้าง หน้ากุฏิหลังหนึ่งมองเห็นพระพุทธรูปปางลีลาอันสวยงามประดิษฐานอยู่ รอบฐานพระพุทธรูปมีดอกเฟื่องฟ้ากำลังบานสะพรั่งหลากสี ข้าพเจ้าคิดว่าหลวงพ่อต้องอยู่ที่นี่แน่นอน
ข้าพเจ้าแจ้งความประสงค์กับผู้หญิงวัยกลางคนนุ่งห่มขาวว่า ข้าพเจ้ามาหาหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเป็นหลานของ พ.อ.เลื่อน สุนทรเศวต อนุศาสนาจารย์ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งมาเป็นวิทยากรให้กับทางวัดอัมพวันบ่อย ๆ และเป็นผู้มอบหนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ ให้กับข้าพเจ้า
ขณะที่รอหลวงพ่อ ผู้ดูแลก็ถามข้าพเจ้าว่า "จะค้างกี่วัน" ข้าพเจ้าถามว่า "ค้างได้หรือ" เขาก็ตอบว่า "ค้างได้" ข้าพเจ้าดีใจมาก บอกว่าขอค้างสัก ๓ วัน เพราะข้าพเจ้ามีธุระต้องไปหาเพื่อนที่ต่างจังหวัด ในตอนหลังข้าพเจ้าก็อยู่ต่อจนครบ ๗ วัน
สักครู่หลวงพ่อก็ลงมาจากชั้นบน ท่านยืนหันหลังให้แล้วพูดว่า "หลานอนุศาสน์หรือ?" เดี๋ยวไปรับศีลที่ในโบสถ์เสียก่อน" ข้าพเจ้าได้ยินแล้วรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่หลวงพ่อให้ความเมตตากับข้าพเจ้าเหมือนหลวงพ่อจะทราบว่า ข้าพเจ้ากำลังมีความทุกข์และมาพึ่งบุญบารมีของหลวงพ่อ
เวลา บ่ายสองโมง ทุกคนไปพร้อมกันในอุโบสถ ทั้งพระภิกษุสามเณร ผู้ปฏิบัติธรรมและชาวบ้านซึ่งมีความตั้งใจที่จะมารักษาศีลภาวนา และรับฟังธรรมะจากหลวงพ่อทุกวันพระ เมื่อทำพิธีสวดมนต์ไหว้พระและแสดงธรรมจบแล้วก็พึงพิธีรับศีลของผู้ปฏิบัติ ธรรมที่มาใหม่ เสียงหลวงพ่อพูดผ่านเครื่องขยายเสียงว่า "หลานอนุศาสน์ให้มารับศีลก่อน ยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าไม่เป็นไร ถ้าจิตใจเราพร้อม" ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากในความเมตตาของท่าน รีบคลานเข้าไปรับศีล ๘ พร้อม ๆ กับผู้ปฏิบัติอื่น ๆ อีกหลายท่าน ได้มีโอกาสเห็นหลวงพ่อใกล้ ๆ รู้สึกเป็นบุญแก่ตัว หลวงพ่อมีอายุมากแล้ว แต่หน้าตาอิ่มเอิบอย่างที่เรียกว่า "อิ่มบุญ" "แม่ใหญ่" ได้จัดให้ข้าพเจ้าพักที่อาคารภาวนา ห้อง ๓ รวมกับผู้ปฏิบัติอีก ๒ ท่าน กิจวัตรประจำวันของผู้ปฏิบัติซึ่งขณะนั้นมีประมาณ ๓๐ ท่าน ก็คือตื่นนอนเวลา ๐๓.๓๐ นาฬิกาโดยมีเสียงระฆังปลุก เริ่มปฏิบัติเวลา ๐๔.๐๐ - ๒๑.๐๐ นาฬิกา ถ้าเป็นวันพระก็ปฏิบัติจนถึง ๒๓.๐๐ น. พักรับประทานอาหารตามเวลา ทุกคนต้องถือคติว่า "กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรมาก" ในระยะ ๒-๓ วันแรก ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติดีอยู่ ก่อนปฏิบัติเราก็สวดมนต์ไหว้พระแล้วจึงเดินจงกรม แล้วนั่งสมาธิในอัตราส่วนที่เท่ากันคือ เดินครึ่งชั่วโมง นั่งครึ่งชั่วโมง และเพิ่มเป็นเดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง เมื่อเรามีความอดทนมากขึ้น หลังจากนั่งสมาธิแล้วก็สวดมนต์แผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลแก่พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เปรต เทวดา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย และทุกครั้งข้าพเจ้าไม่ลืมที่จะแผ่ส่วนกุศลให้กับน้าของข้าพเจ้าที่กำลังป่วยหนัก "ขอผลกุศลนี้จงส่งผลให้น้าหายจากการป่วยไข้ทุกข์ทรมานด้วยเถิด"
เมื่อการปฏิบัติเริ่มเข้าวันที่ ๔ ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย มันทรมานเหลือเกินกว่าเวลาจะล่วงพ้นไปแต่ละนาที นั่งนึกว่าทำไมเราต้องมาทนทุกข์เช่นนี้ ทำเพื่ออะไร ได้อะไรขึ้นมาบ้าง ใจหนึ่งอยากเอาชนะ แต่ใจหนึ่งก็คอยแต่ยอมแพ้เมื่อบังเกิดความเจ็บปวดจึงไม่มีสมาธิ สี่วันล่วงไปข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าไม่ได้อะไรเลย
วันที่ ๒๓ ตุลาคม วันปิยมหาราช แม่ใหญ่พาผู้ปฏิบัติทั้งหมดไปที่หอประชุม ซึ่งมีพระบรมรูปของรัชกาลที่ ๕ ประดิษฐานอยู่ ภายในอาคารสวยงามมาก ด้วยจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตรตระการตา หลวงพ่อภาวนาวิสุทธิ์ เป็นหัวหน้าทำพิธี เนื่องในวันปิยมหาราช หลังจากนั้นหลวงพ่อก็แสดงธรรมได้อย่างไพเราะจับใจ เหมือนท่านนั่งอยู่ในใจเรา ข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะเรียนถามหลวงพ่อ เริ่มคลี่คลายไปทีละน้อยจากการฟังเทศน์แล้วคิดตามไป
หลวงพ่อภาวนาวิสุทธิ์ ท่านมีภารกิจมากมายต้องกระทำเพื่องานสร้างคนของท่าน ดังปณิธานที่หลวงพ่อได้ประกาศไว้ว่า "อาตมาภาพจะมอบชีวิตส่วนที่เหลือทั้งหมดให้กับงานสร้างคน" แต่ถึงแม้จะมีงานมากมายสักเพียงไร หลวงพ่อก็จะต้องปลีกเวลามาอบรมธรรมะ เทศนาสั่งสอนผู้ปฏิบัติธรรมและพระภิกษุสามเณรทั้งหลายทุก ๆ วันพระ วันนั้นหลังจากหลวงพ่อเทศน์สั่งสอนและให้ข้อคิดแก่พวกเราแล้ว ท่านก็มอบหมายให้หลวงพ่อองค์หนึ่ง คือ ท่านพระครูสังฆรักษ์ (ชูชัย อริโย) เป็นผู้อบรมแนะนำการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยเน้นการเดินจงกรมที่ถูกต้อง ตอนหนึ่งท่านได้พูดว่า "เราต้องเอาชนะความทุกข์ทรมานให้ได้ อย่ายอมแพ้มัน มิฉะนั้นเราก็ต้องแพ้อยู่ร่ำไป" จากคำพูดประโยคนี้ทำให้ข้าพเจ้าเกิดพลังใจที่จะต่อสู้กับความทุกข์ทรมาน ความปวดเมื่อยทั้งหลาย หลังจากเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงแล้ว ข้าพเจ้าก็นั่งสมาธิและตั้งสติไว้ในใจว่า แม้จะเจ็บปวดแค่ไหน ข้าพเจ้าจะไม่ยอมขยัยจนกว่าจะหมดเวลา ๑ ชั่วโมง
เวลาผ่านไปที่ละน้อย ๆ ข้าพเจ้าภาวนาในใจ เอาจิตกำหนดไว้ที่ลิ้นปี่ตามที่หลวงพ่อสอน พองหนอ..ยุบหนอ..พองหนอ..ยุบหนอ..สักพัก ความเจ็บปวดเริ่มเกิด ปวดหนอ..ปวดหนอ..ปวดหนอ..ปวดหนอ.. มันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนหัวเขาจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ปวดหนอ..ปวดหนอ..ชาหนอ..ชาหนอ..ความเจ็บปวดคลายลง ความรู้สึกชาเข้ามาแทนที่ ชาหนอ..ชาหนอ.. เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกชาขึ้น ๆ จนกระทั่งไม่รู้สึกอะไรเลย รู้สึกเหมือนตัวข้าพเจ้าสั้นลง ๆ จนคางจดกับมือที่วางอยู่บนตัก ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย เบา สบาย เสียงนาฬิกาตี ๙ ครั้ง เวลา ๒๑ นาฬิกา ข้าพเจ้าสามารถเอาชนะความทุกข์ทรมานได้แล้ว
โดย จรรยา ชูสุวรรณ
ข้าพเจ้ารู้จักวัดอัมพวันและหลวงพ่อภาวนาวิสุทธิ์ จากการที่ได้อ่านหนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติเล่มแรก อ่านจบแล้วรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมาก คิดไว้เสมอว่า สักวันหนึ่งจะต้องไปกราบนมัสการหลวงพ่อให้ได้ ใคร่จะเรียนถามข้อข้องใจบางประการกับท่าน และข้าพเจ้าก็สนใจที่จะเรียนรู้การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คิดว่าท่านคงให้ความรู้ความกระจ่างแก่ข้าพเจ้าได้แน่นอน ซึ่งในตอนหลังเมื่อข้าพเจ้าได้เรียนรู้การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ตระหนักว่า การปฏิบัติวิปัสสนานี้ทำให้เกิดผลดีแก่ตัวข้าพเจ้ามากมาย รวมทั้งได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้นกับตัวข้าพเจ้า ซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไป
กลางเดือนตุลาคม ๒๕๓๑ ข้าพเจ้ามีเรื่องทุกข์ร้อนไม่สบายใจ เดินทางออกจากบ้านจะไปหาเพื่อนที่ต่างจังหวัด ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าบ้านเพื่อนอยู่ที่ไหน แต่เหมือนมีเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดลใจว่า ไปวัดอัมพวันซิ ไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อจะเป็นที่พึ่งได้ วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๑ ข้าพเจ้าไปขึ้นรถที่ตลาดหมอชิตและบอกกับกระเป๋ารถกรุงเทพฯ-สิงห์บุรีว่า เมื่อถึงวัดอัมพวันแล้วให้บอกด้วย เพราะข้าพเจ้ารู้แต่เพียงว่าวัดอัมพวันอยู่ที่ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เท่านั้น
รถ แล่นออกจากกรุงเทพฯ ทิ้งความสับสนวุ่นว่ายของเมืองหลวงไว้เบื้องหลัง ผ่านธรรมชาติอันสวยงามของชนบท ข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับความงามเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทุ่งนา บ้านเรือน แม่น้ำ ลำคลอง ต้นไม้ และหมู่นก ทำให้นึกถึงชีวิตในวัยเด็กของข้าพเจ้าที่เคยคลุกคลีอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ช่างเป็นเวลาอันแสนสุขที่ข้าพเจ้าคงไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสอีกแล้ว
เวลาผ่านไปราว ๒ ชั่วโมง เสียงกระเป๋ารถก็บอกกับข้าพเจ้าว่า "พี่ ๆ ถึงวัดอัมพวันแล้ว" ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณพร้อมทั้งหิ้วกระเป๋าลงจากรถ มองเห็นป้ายวัดอัมพวันเด่นเป็นสง่า มีธงชาติและธงพระธรรมจักรปักหระดับสวยงาม ข้าพเจ้าแวะลงพักที่ศาลาที่พักผู้โดยสารมองไปยังวัดอัมพวันซึ่งอยู่ลึกเข้าไปราว ๑ กิโลเมตร
ขณะนั้นเป็นเวลาบ่าย แต่อากาศไม่ร้อนเพราะมีลมพัดเย็นสบาย ข้าพเจ้าเดินผ่านทุ่งหนาเขียวขจีและต้นคูณ ต้นตาล ซึ่งปลูกไว้เป็นระยะสองข้างทาง สักพักก็ถึงวัดอัมพวัน ภายในวัดเต็มไปด้วยต้นไม่ใหญ่น้อยร่มครึ้มและสงบเงียบ สุดทางเดินตรงไปข้างหน้าเป็นลานกว้าง หน้ากุฏิหลังหนึ่งมองเห็นพระพุทธรูปปางลีลาอันสวยงามประดิษฐานอยู่ รอบฐานพระพุทธรูปมีดอกเฟื่องฟ้ากำลังบานสะพรั่งหลากสี ข้าพเจ้าคิดว่าหลวงพ่อต้องอยู่ที่นี่แน่นอน
ข้าพเจ้าแจ้งความประสงค์กับผู้หญิงวัยกลางคนนุ่งห่มขาวว่า ข้าพเจ้ามาหาหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเป็นหลานของ พ.อ.เลื่อน สุนทรเศวต อนุศาสนาจารย์ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งมาเป็นวิทยากรให้กับทางวัดอัมพวันบ่อย ๆ และเป็นผู้มอบหนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ ให้กับข้าพเจ้า
ขณะที่รอหลวงพ่อ ผู้ดูแลก็ถามข้าพเจ้าว่า "จะค้างกี่วัน" ข้าพเจ้าถามว่า "ค้างได้หรือ" เขาก็ตอบว่า "ค้างได้" ข้าพเจ้าดีใจมาก บอกว่าขอค้างสัก ๓ วัน เพราะข้าพเจ้ามีธุระต้องไปหาเพื่อนที่ต่างจังหวัด ในตอนหลังข้าพเจ้าก็อยู่ต่อจนครบ ๗ วัน
สักครู่หลวงพ่อก็ลงมาจากชั้นบน ท่านยืนหันหลังให้แล้วพูดว่า "หลานอนุศาสน์หรือ?" เดี๋ยวไปรับศีลที่ในโบสถ์เสียก่อน" ข้าพเจ้าได้ยินแล้วรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่หลวงพ่อให้ความเมตตากับข้าพเจ้าเหมือนหลวงพ่อจะทราบว่า ข้าพเจ้ากำลังมีความทุกข์และมาพึ่งบุญบารมีของหลวงพ่อ
เวลา บ่ายสองโมง ทุกคนไปพร้อมกันในอุโบสถ ทั้งพระภิกษุสามเณร ผู้ปฏิบัติธรรมและชาวบ้านซึ่งมีความตั้งใจที่จะมารักษาศีลภาวนา และรับฟังธรรมะจากหลวงพ่อทุกวันพระ เมื่อทำพิธีสวดมนต์ไหว้พระและแสดงธรรมจบแล้วก็พึงพิธีรับศีลของผู้ปฏิบัติ ธรรมที่มาใหม่ เสียงหลวงพ่อพูดผ่านเครื่องขยายเสียงว่า "หลานอนุศาสน์ให้มารับศีลก่อน ยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าไม่เป็นไร ถ้าจิตใจเราพร้อม" ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากในความเมตตาของท่าน รีบคลานเข้าไปรับศีล ๘ พร้อม ๆ กับผู้ปฏิบัติอื่น ๆ อีกหลายท่าน ได้มีโอกาสเห็นหลวงพ่อใกล้ ๆ รู้สึกเป็นบุญแก่ตัว หลวงพ่อมีอายุมากแล้ว แต่หน้าตาอิ่มเอิบอย่างที่เรียกว่า "อิ่มบุญ" "แม่ใหญ่" ได้จัดให้ข้าพเจ้าพักที่อาคารภาวนา ห้อง ๓ รวมกับผู้ปฏิบัติอีก ๒ ท่าน กิจวัตรประจำวันของผู้ปฏิบัติซึ่งขณะนั้นมีประมาณ ๓๐ ท่าน ก็คือตื่นนอนเวลา ๐๓.๓๐ นาฬิกาโดยมีเสียงระฆังปลุก เริ่มปฏิบัติเวลา ๐๔.๐๐ - ๒๑.๐๐ นาฬิกา ถ้าเป็นวันพระก็ปฏิบัติจนถึง ๒๓.๐๐ น. พักรับประทานอาหารตามเวลา ทุกคนต้องถือคติว่า "กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรมาก" ในระยะ ๒-๓ วันแรก ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติดีอยู่ ก่อนปฏิบัติเราก็สวดมนต์ไหว้พระแล้วจึงเดินจงกรม แล้วนั่งสมาธิในอัตราส่วนที่เท่ากันคือ เดินครึ่งชั่วโมง นั่งครึ่งชั่วโมง และเพิ่มเป็นเดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง เมื่อเรามีความอดทนมากขึ้น หลังจากนั่งสมาธิแล้วก็สวดมนต์แผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลแก่พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เปรต เทวดา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย และทุกครั้งข้าพเจ้าไม่ลืมที่จะแผ่ส่วนกุศลให้กับน้าของข้าพเจ้าที่กำลังป่วยหนัก "ขอผลกุศลนี้จงส่งผลให้น้าหายจากการป่วยไข้ทุกข์ทรมานด้วยเถิด"
เมื่อการปฏิบัติเริ่มเข้าวันที่ ๔ ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย มันทรมานเหลือเกินกว่าเวลาจะล่วงพ้นไปแต่ละนาที นั่งนึกว่าทำไมเราต้องมาทนทุกข์เช่นนี้ ทำเพื่ออะไร ได้อะไรขึ้นมาบ้าง ใจหนึ่งอยากเอาชนะ แต่ใจหนึ่งก็คอยแต่ยอมแพ้เมื่อบังเกิดความเจ็บปวดจึงไม่มีสมาธิ สี่วันล่วงไปข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าไม่ได้อะไรเลย
วันที่ ๒๓ ตุลาคม วันปิยมหาราช แม่ใหญ่พาผู้ปฏิบัติทั้งหมดไปที่หอประชุม ซึ่งมีพระบรมรูปของรัชกาลที่ ๕ ประดิษฐานอยู่ ภายในอาคารสวยงามมาก ด้วยจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตรตระการตา หลวงพ่อภาวนาวิสุทธิ์ เป็นหัวหน้าทำพิธี เนื่องในวันปิยมหาราช หลังจากนั้นหลวงพ่อก็แสดงธรรมได้อย่างไพเราะจับใจ เหมือนท่านนั่งอยู่ในใจเรา ข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะเรียนถามหลวงพ่อ เริ่มคลี่คลายไปทีละน้อยจากการฟังเทศน์แล้วคิดตามไป
หลวงพ่อภาวนาวิสุทธิ์ ท่านมีภารกิจมากมายต้องกระทำเพื่องานสร้างคนของท่าน ดังปณิธานที่หลวงพ่อได้ประกาศไว้ว่า "อาตมาภาพจะมอบชีวิตส่วนที่เหลือทั้งหมดให้กับงานสร้างคน" แต่ถึงแม้จะมีงานมากมายสักเพียงไร หลวงพ่อก็จะต้องปลีกเวลามาอบรมธรรมะ เทศนาสั่งสอนผู้ปฏิบัติธรรมและพระภิกษุสามเณรทั้งหลายทุก ๆ วันพระ วันนั้นหลังจากหลวงพ่อเทศน์สั่งสอนและให้ข้อคิดแก่พวกเราแล้ว ท่านก็มอบหมายให้หลวงพ่อองค์หนึ่ง คือ ท่านพระครูสังฆรักษ์ (ชูชัย อริโย) เป็นผู้อบรมแนะนำการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยเน้นการเดินจงกรมที่ถูกต้อง ตอนหนึ่งท่านได้พูดว่า "เราต้องเอาชนะความทุกข์ทรมานให้ได้ อย่ายอมแพ้มัน มิฉะนั้นเราก็ต้องแพ้อยู่ร่ำไป" จากคำพูดประโยคนี้ทำให้ข้าพเจ้าเกิดพลังใจที่จะต่อสู้กับความทุกข์ทรมาน ความปวดเมื่อยทั้งหลาย หลังจากเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงแล้ว ข้าพเจ้าก็นั่งสมาธิและตั้งสติไว้ในใจว่า แม้จะเจ็บปวดแค่ไหน ข้าพเจ้าจะไม่ยอมขยัยจนกว่าจะหมดเวลา ๑ ชั่วโมง
เวลาผ่านไปที่ละน้อย ๆ ข้าพเจ้าภาวนาในใจ เอาจิตกำหนดไว้ที่ลิ้นปี่ตามที่หลวงพ่อสอน พองหนอ..ยุบหนอ..พองหนอ..ยุบหนอ..สักพัก ความเจ็บปวดเริ่มเกิด ปวดหนอ..ปวดหนอ..ปวดหนอ..ปวดหนอ.. มันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนหัวเขาจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ปวดหนอ..ปวดหนอ..ชาหนอ..ชาหนอ..ความเจ็บปวดคลายลง ความรู้สึกชาเข้ามาแทนที่ ชาหนอ..ชาหนอ.. เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกชาขึ้น ๆ จนกระทั่งไม่รู้สึกอะไรเลย รู้สึกเหมือนตัวข้าพเจ้าสั้นลง ๆ จนคางจดกับมือที่วางอยู่บนตัก ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย เบา สบาย เสียงนาฬิกาตี ๙ ครั้ง เวลา ๒๑ นาฬิกา ข้าพเจ้าสามารถเอาชนะความทุกข์ทรมานได้แล้ว
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น