ป้ายกำกับ
- กฏแห่งกรรม (140)
- ชาดก (162)
- พทุธประวัติ (20)
- พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ (145)
- พระอริยสงฆ์ (4)
- ร่มไทร (11)
- วันสำคัญทางศาสนา (8)
- อานิสงส์ผลบุญ (40)
ผู้ติดตาม
ตอนที่ 15 พระนางมหาปชาบดี
ครั้งหนึ่ง พระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาได้ประชวรหนัก พระพุทธองค์ได้ทรงพาพระนันทะน้องต่างมารดาของพระองค์ และพระอานนท์ลูกเรียงพี่เรียงน้องของพระองค์ ซึ่งบัดนี้ได้ผนวชเป็นภิกษุแล้ว พร้อมทั้งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเสด็จไปสู่นครกบิลพัสดุ์ เพื่อการเยี่ยมเยียน ในตอนแรก ด้วยการได้เห็นพระพุทธองค์ซึ่งเป็นโอรสสุดที่รักอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าสุทโธทนะได้ค่อยทรงทุเลาขึ้น และทุกๆ คนคิดว่า พระองค์จะต้องทรงหายประชวร แต่อาการทุเลานี้ได้เป็นไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น พระองค์ทรงมีความชรามากเกินไปกว่าที่จะมีกำลังต้านทานความเจ็บไข้ ในสองสามวันต่อมาได้กลับประชวรหนักยิ่งขึ้นไปอีก และได้สิ้นพระชนม์ลงในท่ามกลางความโศกเศร้าของคนทั้งหลาย
เมื่อพระราชสวามีสิ้นพระชนม์ลงดั่งนี้ พระนางมหาปชาบดี ผู้เป็นพระมารดาเลี้ยงของพระพุทธองค์ ซึ่งได้เลี้ยงพระองค์มหาราวกะว่าเป็นโอรสของพระนางเองนั้น ไม่ทรงประสงค์ที่จะอยู่เป็นฆราวาสอีกต่อไป พระนางทรงมีความโศกเศร้าในการสิ้นพระชนม์ของพระสวามี ประกอบกับความพอพระทัยในการประพฤติพรหมจรรย์ จึงมีพระประสงค์จะออกผนวชเป็นบรรพชิตในสำนักของพระองค์ เพื่อรับคำแนะนำสั่งสอนโดยใกล้ชิด พระนางได้ทรงพาสุภาพสตรีอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่ยอมอยู่โดยปราศจากพระนางโดยจะติดตามไปในที่ทุกหนทุกแห่งด้วยกัน ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าและทูลขอร้องให้ทรงเมตตากรุณายินยอมรับสตรีบวชเป็น บรรพชิต อยู่ภายใต้การแนะนำสั่งสอนของพระองค์โดยใกล้ชิด เช่นเดียวกับภิกษุทั้งหลาย แต่แม้พระนางจะได้ทรงวิงวอนถึง ๓ ครั้ง ๓ หน ให้พระองค์ทรงรับพระนางและสุภาพสตรีเหล่านั้นเข้าบวช เป็นนักบวชสตรีอยู่กับพระองค์ พระองค์ก็ได้ทรงปฏิเสธโดยทรงขอร้องอย่าให้พระนางทูลขออนุญาตเช่นนั้นกับ พระองค์เลย พระนางมหาปชาบดีทรงโศกเศร้าเป็นอันมากในการที่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธ พระนางและสุภาพสตรีเหล่านั้น ได้พากันร้องไห้เพราะเหตุนั้น
เมื่อทรงปลงพระศพพระเจ้าสุทโธทนะสิ้นสุดลงแล้ว พระพุทธองค์ได้เสด็จจากนครกบิลพัสดุ์ ทรงจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งสมัยหนึ่งได้เสด็จถึงเมืองเวสาลี และประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน พระนางมหาปชาบดีได้ตัดพระเกศาของพระนางออก ทรงครองผ้าอย่างนักบวช พร้อมด้วยสุภาพสตรีจำนวนหนึ่งดังที่กล่าวแล้ว ได้เสด็จไปตามหนทางที่จะไปสู่เมืองเวสาลี ทรงดำเนินด้วยพระบาททีละเล็กละน้อย ล่วงเวลาเป็นอันมา จนกระทั่งถึงป่ามหาวัน อันเป็นที่ซึ่งพระพุทธองค์กำลังประทับอยู่
เมื่อเสด็จถึงที่นั้นแล้ว มีฝ่าพระบาทบวมพอง เพราะการเดินทางไกล มีฝุ่นจับทั่วทั้งองค์ ซูบเศร้า และอ่อนเพลีย พระนางได้ประทับยืนกันแสดงอยู่ข้างนอกพระวิหาร พระอานนท์ได้มาพบพระนางซึ่งกำลังยืนอยู่ในพระอาการที่น่าสมเพชอย่างยิ่งเช่น นั้น ได้ทูลถามถึงต้นเหตุเพื่อทราบว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และพระนางกันแสงเพราะเหตุใด
พระนางได้ตรัสตอบว่า “ท่านอานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้สตรีละจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต อยู่ประพฤติธรรมวินัยกับพระองค์ อิฉันไม่ปรารถนาจะเป็นอย่างอื่น ปรารถนาจะบวชแต่อย่างเดียวจึงต้องร้องไห้”
พระอานนท์ได้ตอบว่า “พระบุตรีแห่งราชวงศ์โคตมะจงรอก่อน ถ้าเรื่องเป็นดังนี้ อาตมาจักวิงวอนขอร้องให้พระผู้มีพระภาคเจ้าโรดประทานพระอนุญาตให้สตรีได้บวช ประพฤติธรรมวินัยในสำนักของพระองค์ เช่นเดียวกับภิกษุทั้งหลาย” พระอานนท์ได้พยายามกระทำตามที่ได้ให้สัญญาแก่พระนางมหาปชาบดี เมื่อได้ไปถึงที่ประทับของพระพุทธองค์แล้ว ได้ทำการวิงวอนด้วยความเคารพนอบน้อมอย่างสูงสุด เพื่อให้ทรงเมตตาแก่สตรีทั้งหลายโดยโปรดประทานอนุญาตให้บวชได้ โดยทำนองเดียวกับบุรุษ
พระดำรัสตอบของพระพุทธองค์ต่อพระอานนท์ในขณะนั้นมีว่า “อย่างเลย! อานนท์, อย่าเลย! อย่าขอสิ่งเช่นนี้กับเราเลย” พระอานนท์ก็มิได้หมดความพยายามหรือท้อถอย ได้ทูลวิงวอนแล้ววิงวอนอีก เป็นครั้งที่สองและที่สาม ด้วยคำวิงวอนอย่างเดียวกัน และทุกครั้งพระองค์ได้ทรงปฏิเสธด้วยคำปฏิเสธอย่างเดียวกัน
พระอานนท์ได้ทรงรำถึงอยู่ในใจว่า “พระพุทธองค์ไม่ประทานพระอนุญาต เมื่อถูกทูลขอตรงๆ แต่บางทีพระองค์อาจจักทรงอนุญาต ถ้าเราจักใช้วิธีอื่น” ดังนั้นท่านจึงได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าหากว่าสตรีได้สละเหย้าเรือนแล้ว ออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยของพระตถาคตอย่างเคร่งครัดแล้ว เธอเหล่านั้นจะสามารถบรรลุธรรมวิเศษทั้งสี่ชั้น ตามลำดับแห่งอัฏซังคิกมรรคเพื่อลุถึงนิพพานได้หรือไม่ พระเจ้าข้า?”
พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบว่า “อานนท์ ถ้าสตรีสละเหย้าเรือน ออกบวชในธรรมวินัยนี้ ก็อาจเป็นพระอรหันต์ ลุถึงนิพพานได้ในชาติอันเป็นปัจจุบันนี้เหมือนกัน”
พระอานนท์ได้กราบทูลว่า “ถ้าเช่นนั้นแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดพิจารณาดูเถิด พระนางมหาปชาบดีแห่งราชวงศ์โคตมะ ได้เป็นผู้มีพระคุณต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างสูงสุด พระนางเป้ฯพระกนิษฐภคินีแห่งพระมารดาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง และทรงเป็นพระมารดาบุญธรรมเป็นผู้ฟูมฟักทะนุถนอม และถวายนมแทนพระมารดาแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนางได้ทรงเลี้ยงดู และได้ทรงอบรมสั่งสอนพระผู้มีพระภาคเจ้ามาตั้งแต่พระมารดาสิ้นพระชนม์ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ได้โปรดประทานพระอนุญาตเพื่อเห็นแก่พระนาง ให้สตรีทั้งหลายที่สละเหย้าเรือนได้บวชเป็นบรรพชิตประพฤติพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างเดียวกับบุรุษ เพื่อบรรลุถึงธรรมอันประเสริฐ ที่พระองค์มีไว้โปรดประทานแก่ชาวโลกในชั้นสูงสุดนั้นเถิดพระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า “เอาละ อานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีแห่งราชตระกูลโคตมะเต็มพระทัยจะถือกฎอันเฉียบขาด ๘ ประการ ต่อไปนี้อย่างเคร่งครัดแล้ว ก็ให้ถือว่านั่นแหละ เป็นการบรรพชาอุปสมบทของพระนางเถิด” ต่อจากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ถึงกฎ ๘ ประการนั้นว่า
- สตรีผู้บวชแล้ว แม้นานเท่าใดก็ต้องทำความเคารพแก่ภิกษุผู้บวชแล้ว แม้วันเดียว
- ต้องไม่อยู่อาศัยในถิ่นที่ซึ่งไม่มีภิกษุอยู่ด้วย
- ต้องรับคำสั่งสอนจากภิกษุซึ่งสงฆ์ได้มอบหมายหน้าที่ ให้เป็นผู้สั่งสอนทุกๆ กึ่งเดือน
- ต้องปวารณาเปิดโอกาสให้สงฆ์ทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี ว่ากล่าวตักเตือนชี้โทษได้ ในวันปวารณา
- ถ้ามีอาบัติโทษอันชั่วหยาบ จักต้องได้รับการพิจารณาโทษและออกจากอาบัติในสงฆ์ทั้งสองฝ่ายคือทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี
- ก่อนบวชเป็นภิกษุณี ต้องอยู่ประพฤติวัตร เป็นสิกขมานา เพื่อการทอดลองเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ปี แล้วจึงบวชได้ในสำนักแห่งสงฆ์ทั้งสองฝ่าย
- ต้อไม่พูดคำหยาบอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ภิกษุและ
- ต้องไม่ทำตนเป็นผู้ว่ากล่าวตักเตือนภิกษุ แต่จักต้องเป็นผู้รับคำว่ากล่าวตักเตือนจากภิกษุ
อานนท์, ถ้าหากว่าพระนางมหาปชาบดีแห่งราชวงศ์โคตมะทรงเต็มพระทัยที่จะรับถือกฎอัน เฉียบขาด ๘ ประการนี้ อย่างเคร่งครัด จนตลอดพระชนมายุแล้ว ก็ให้ถือว่าพระนางเป็นภิกษุณีแล้วโดยสมบูรณ์เถิด” พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงยืนยันในที่สุด
พระอานนท์ได้รับเอาพระพุทธานุญาตนั้นแล้ว กลับออกมาทูลแก่พระนางมหาปชาบดี ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสทุกประการ พระนางมหาปชาบดีทรงรู้สึกปลาบปลื้มและดีพระทัย ตรัสแก่พระอานนท์ว่า “ท่านอานนท์, เปรียบเหมือนคนหนุ่มคนสาวรักการแต่งตัว อาบน้ำชำระกายและศีรษะของตนแล้ว ยกพวงมาลัยอันประกอบด้วยดอกไม้สีสวยสดและกลิ่นหอม ขึ้นด้วยมือทั้งสอง แล้ววางลงบนศีรษะของตนอันเป็นอวัยวะสูงสุดกว่าอวัยวะทั้งหลาย ด้วยความระมัดระวังฉันใด แม้อิฉันจักเทิดทูนกฎ ๘ ประการนั้นไว้เหนือศีรษะไม่ประพฤติล่วงละเมิด จนตลอดชีวิตของอิฉันด้วยความระมัดระวังอย่างเดียวกัน”
พระอานนท์ ได้กลับเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายความเคารพแล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนางมหาปชาบดีแห่งราชตระกูลโคตมะทรงยอมรับสมาทานกฎ ๘ ประการ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติให้แก่พระนางอย่างเคร่งครัด พระน้าของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เป็นภิกษุณีสมคามพระประสงค์แล้วพระเจ้าข้า”
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า “อานนท์เอ๋ย ธรรมวินัยซึ่งมีสตรีรับเอาไปประพฤติร่วมอยู่ด้วย จักไม่ตั้งมั่นยืนนาน เปรียบเหมือนตระกูลที่มีผู้หญิงมาก มีผู้ชายน้อย ไม่สามารถผจญต่อโจรผู้ร้ายผู้เบียดเบียนนี้ฉันใด ธรรมวินัยของเราที่สตรีรับเอาไปประพฤติ ย่อมไม่ตั้งอยู่นานฉันนั้น มันเหมือนกับนาข้าวสาลีหรือสวนอ้อย ซึ่งถูกเพลี้ยลงจับ ย่อมไม่เจริญงอกงามไปได้นาน ฉันใดก็ฉันนั้น เหตุการณ์ได้เป็นไปตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ทุกประการ การบวชของภิกษุณี ซึ่งมีพระนางมหาปชาบดีเป็นองค์แรกนั้น มีอายุยืนยาว ๕๐๐ ปี แล้วก็สบสูญไป
ข้อมูล : พุทธประวัติ ฉบับสำหรับยุวชน ; สำนักพิมพ์ธรรมสภา
เมื่อพระราชสวามีสิ้นพระชนม์ลงดั่งนี้ พระนางมหาปชาบดี ผู้เป็นพระมารดาเลี้ยงของพระพุทธองค์ ซึ่งได้เลี้ยงพระองค์มหาราวกะว่าเป็นโอรสของพระนางเองนั้น ไม่ทรงประสงค์ที่จะอยู่เป็นฆราวาสอีกต่อไป พระนางทรงมีความโศกเศร้าในการสิ้นพระชนม์ของพระสวามี ประกอบกับความพอพระทัยในการประพฤติพรหมจรรย์ จึงมีพระประสงค์จะออกผนวชเป็นบรรพชิตในสำนักของพระองค์ เพื่อรับคำแนะนำสั่งสอนโดยใกล้ชิด พระนางได้ทรงพาสุภาพสตรีอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่ยอมอยู่โดยปราศจากพระนางโดยจะติดตามไปในที่ทุกหนทุกแห่งด้วยกัน ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าและทูลขอร้องให้ทรงเมตตากรุณายินยอมรับสตรีบวชเป็น บรรพชิต อยู่ภายใต้การแนะนำสั่งสอนของพระองค์โดยใกล้ชิด เช่นเดียวกับภิกษุทั้งหลาย แต่แม้พระนางจะได้ทรงวิงวอนถึง ๓ ครั้ง ๓ หน ให้พระองค์ทรงรับพระนางและสุภาพสตรีเหล่านั้นเข้าบวช เป็นนักบวชสตรีอยู่กับพระองค์ พระองค์ก็ได้ทรงปฏิเสธโดยทรงขอร้องอย่าให้พระนางทูลขออนุญาตเช่นนั้นกับ พระองค์เลย พระนางมหาปชาบดีทรงโศกเศร้าเป็นอันมากในการที่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธ พระนางและสุภาพสตรีเหล่านั้น ได้พากันร้องไห้เพราะเหตุนั้น
เมื่อทรงปลงพระศพพระเจ้าสุทโธทนะสิ้นสุดลงแล้ว พระพุทธองค์ได้เสด็จจากนครกบิลพัสดุ์ ทรงจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งสมัยหนึ่งได้เสด็จถึงเมืองเวสาลี และประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน พระนางมหาปชาบดีได้ตัดพระเกศาของพระนางออก ทรงครองผ้าอย่างนักบวช พร้อมด้วยสุภาพสตรีจำนวนหนึ่งดังที่กล่าวแล้ว ได้เสด็จไปตามหนทางที่จะไปสู่เมืองเวสาลี ทรงดำเนินด้วยพระบาททีละเล็กละน้อย ล่วงเวลาเป็นอันมา จนกระทั่งถึงป่ามหาวัน อันเป็นที่ซึ่งพระพุทธองค์กำลังประทับอยู่
เมื่อเสด็จถึงที่นั้นแล้ว มีฝ่าพระบาทบวมพอง เพราะการเดินทางไกล มีฝุ่นจับทั่วทั้งองค์ ซูบเศร้า และอ่อนเพลีย พระนางได้ประทับยืนกันแสดงอยู่ข้างนอกพระวิหาร พระอานนท์ได้มาพบพระนางซึ่งกำลังยืนอยู่ในพระอาการที่น่าสมเพชอย่างยิ่งเช่น นั้น ได้ทูลถามถึงต้นเหตุเพื่อทราบว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และพระนางกันแสงเพราะเหตุใด
พระนางได้ตรัสตอบว่า “ท่านอานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้สตรีละจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต อยู่ประพฤติธรรมวินัยกับพระองค์ อิฉันไม่ปรารถนาจะเป็นอย่างอื่น ปรารถนาจะบวชแต่อย่างเดียวจึงต้องร้องไห้”
พระอานนท์ได้ตอบว่า “พระบุตรีแห่งราชวงศ์โคตมะจงรอก่อน ถ้าเรื่องเป็นดังนี้ อาตมาจักวิงวอนขอร้องให้พระผู้มีพระภาคเจ้าโรดประทานพระอนุญาตให้สตรีได้บวช ประพฤติธรรมวินัยในสำนักของพระองค์ เช่นเดียวกับภิกษุทั้งหลาย” พระอานนท์ได้พยายามกระทำตามที่ได้ให้สัญญาแก่พระนางมหาปชาบดี เมื่อได้ไปถึงที่ประทับของพระพุทธองค์แล้ว ได้ทำการวิงวอนด้วยความเคารพนอบน้อมอย่างสูงสุด เพื่อให้ทรงเมตตาแก่สตรีทั้งหลายโดยโปรดประทานอนุญาตให้บวชได้ โดยทำนองเดียวกับบุรุษ
พระดำรัสตอบของพระพุทธองค์ต่อพระอานนท์ในขณะนั้นมีว่า “อย่างเลย! อานนท์, อย่าเลย! อย่าขอสิ่งเช่นนี้กับเราเลย” พระอานนท์ก็มิได้หมดความพยายามหรือท้อถอย ได้ทูลวิงวอนแล้ววิงวอนอีก เป็นครั้งที่สองและที่สาม ด้วยคำวิงวอนอย่างเดียวกัน และทุกครั้งพระองค์ได้ทรงปฏิเสธด้วยคำปฏิเสธอย่างเดียวกัน
พระอานนท์ได้ทรงรำถึงอยู่ในใจว่า “พระพุทธองค์ไม่ประทานพระอนุญาต เมื่อถูกทูลขอตรงๆ แต่บางทีพระองค์อาจจักทรงอนุญาต ถ้าเราจักใช้วิธีอื่น” ดังนั้นท่านจึงได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าหากว่าสตรีได้สละเหย้าเรือนแล้ว ออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยของพระตถาคตอย่างเคร่งครัดแล้ว เธอเหล่านั้นจะสามารถบรรลุธรรมวิเศษทั้งสี่ชั้น ตามลำดับแห่งอัฏซังคิกมรรคเพื่อลุถึงนิพพานได้หรือไม่ พระเจ้าข้า?”
พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบว่า “อานนท์ ถ้าสตรีสละเหย้าเรือน ออกบวชในธรรมวินัยนี้ ก็อาจเป็นพระอรหันต์ ลุถึงนิพพานได้ในชาติอันเป็นปัจจุบันนี้เหมือนกัน”
พระอานนท์ได้กราบทูลว่า “ถ้าเช่นนั้นแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดพิจารณาดูเถิด พระนางมหาปชาบดีแห่งราชวงศ์โคตมะ ได้เป็นผู้มีพระคุณต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างสูงสุด พระนางเป้ฯพระกนิษฐภคินีแห่งพระมารดาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง และทรงเป็นพระมารดาบุญธรรมเป็นผู้ฟูมฟักทะนุถนอม และถวายนมแทนพระมารดาแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนางได้ทรงเลี้ยงดู และได้ทรงอบรมสั่งสอนพระผู้มีพระภาคเจ้ามาตั้งแต่พระมารดาสิ้นพระชนม์ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ได้โปรดประทานพระอนุญาตเพื่อเห็นแก่พระนาง ให้สตรีทั้งหลายที่สละเหย้าเรือนได้บวชเป็นบรรพชิตประพฤติพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างเดียวกับบุรุษ เพื่อบรรลุถึงธรรมอันประเสริฐ ที่พระองค์มีไว้โปรดประทานแก่ชาวโลกในชั้นสูงสุดนั้นเถิดพระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า “เอาละ อานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีแห่งราชตระกูลโคตมะเต็มพระทัยจะถือกฎอันเฉียบขาด ๘ ประการ ต่อไปนี้อย่างเคร่งครัดแล้ว ก็ให้ถือว่านั่นแหละ เป็นการบรรพชาอุปสมบทของพระนางเถิด” ต่อจากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ถึงกฎ ๘ ประการนั้นว่า
- สตรีผู้บวชแล้ว แม้นานเท่าใดก็ต้องทำความเคารพแก่ภิกษุผู้บวชแล้ว แม้วันเดียว
- ต้องไม่อยู่อาศัยในถิ่นที่ซึ่งไม่มีภิกษุอยู่ด้วย
- ต้องรับคำสั่งสอนจากภิกษุซึ่งสงฆ์ได้มอบหมายหน้าที่ ให้เป็นผู้สั่งสอนทุกๆ กึ่งเดือน
- ต้องปวารณาเปิดโอกาสให้สงฆ์ทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี ว่ากล่าวตักเตือนชี้โทษได้ ในวันปวารณา
- ถ้ามีอาบัติโทษอันชั่วหยาบ จักต้องได้รับการพิจารณาโทษและออกจากอาบัติในสงฆ์ทั้งสองฝ่ายคือทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี
- ก่อนบวชเป็นภิกษุณี ต้องอยู่ประพฤติวัตร เป็นสิกขมานา เพื่อการทอดลองเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ปี แล้วจึงบวชได้ในสำนักแห่งสงฆ์ทั้งสองฝ่าย
- ต้อไม่พูดคำหยาบอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ภิกษุและ
- ต้องไม่ทำตนเป็นผู้ว่ากล่าวตักเตือนภิกษุ แต่จักต้องเป็นผู้รับคำว่ากล่าวตักเตือนจากภิกษุ
อานนท์, ถ้าหากว่าพระนางมหาปชาบดีแห่งราชวงศ์โคตมะทรงเต็มพระทัยที่จะรับถือกฎอัน เฉียบขาด ๘ ประการนี้ อย่างเคร่งครัด จนตลอดพระชนมายุแล้ว ก็ให้ถือว่าพระนางเป็นภิกษุณีแล้วโดยสมบูรณ์เถิด” พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงยืนยันในที่สุด
พระอานนท์ได้รับเอาพระพุทธานุญาตนั้นแล้ว กลับออกมาทูลแก่พระนางมหาปชาบดี ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสทุกประการ พระนางมหาปชาบดีทรงรู้สึกปลาบปลื้มและดีพระทัย ตรัสแก่พระอานนท์ว่า “ท่านอานนท์, เปรียบเหมือนคนหนุ่มคนสาวรักการแต่งตัว อาบน้ำชำระกายและศีรษะของตนแล้ว ยกพวงมาลัยอันประกอบด้วยดอกไม้สีสวยสดและกลิ่นหอม ขึ้นด้วยมือทั้งสอง แล้ววางลงบนศีรษะของตนอันเป็นอวัยวะสูงสุดกว่าอวัยวะทั้งหลาย ด้วยความระมัดระวังฉันใด แม้อิฉันจักเทิดทูนกฎ ๘ ประการนั้นไว้เหนือศีรษะไม่ประพฤติล่วงละเมิด จนตลอดชีวิตของอิฉันด้วยความระมัดระวังอย่างเดียวกัน”
พระอานนท์ ได้กลับเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายความเคารพแล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนางมหาปชาบดีแห่งราชตระกูลโคตมะทรงยอมรับสมาทานกฎ ๘ ประการ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติให้แก่พระนางอย่างเคร่งครัด พระน้าของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เป็นภิกษุณีสมคามพระประสงค์แล้วพระเจ้าข้า”
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า “อานนท์เอ๋ย ธรรมวินัยซึ่งมีสตรีรับเอาไปประพฤติร่วมอยู่ด้วย จักไม่ตั้งมั่นยืนนาน เปรียบเหมือนตระกูลที่มีผู้หญิงมาก มีผู้ชายน้อย ไม่สามารถผจญต่อโจรผู้ร้ายผู้เบียดเบียนนี้ฉันใด ธรรมวินัยของเราที่สตรีรับเอาไปประพฤติ ย่อมไม่ตั้งอยู่นานฉันนั้น มันเหมือนกับนาข้าวสาลีหรือสวนอ้อย ซึ่งถูกเพลี้ยลงจับ ย่อมไม่เจริญงอกงามไปได้นาน ฉันใดก็ฉันนั้น เหตุการณ์ได้เป็นไปตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ทุกประการ การบวชของภิกษุณี ซึ่งมีพระนางมหาปชาบดีเป็นองค์แรกนั้น มีอายุยืนยาว ๕๐๐ ปี แล้วก็สบสูญไป
ข้อมูล : พุทธประวัติ ฉบับสำหรับยุวชน ; สำนักพิมพ์ธรรมสภา

สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น